นางใน ตอนที่ 3
“ปาหลินฮาหล่า มู่อิง!” เสียงเจ้าหน้าที่เรียก
อิงเอ๋อยืนนิ่งซึมเซา จนเด็กหญิงอาม่านที่ยืนข้าง ๆ ต้องใช้ข้อศอกกระทุ้ง อิงเอ๋อถึงได้เหลียวไปมองเด็กหญิงข้าง ๆ อย่างงุนงง
“เขาเรียกชื่อเจ้าแล้ว “ อาม่านกระซิบเบา ๆ
อิงเอ๋อเงอะงะ กอดห่อผ้าก้าวไปยืนเรียงในแถวอย่างประหม่า เจ้าหน้าที่ผู้นั้นตวัดสายตาตรวจนับจำนวนเด็ก ๆ ในแถวว่าครบแล้ว จึงใช้พู่กันป้ายหมึกลงในสมุดบัญชี
เด็ก ๆ ในแถวเดินตามเผิงกงกงไปอย่างเงื่องหงอย ผ่านเข้าประตูบานใหญ่ที่เรียกว่าประตูเสินอู่ รักสีแดงคล้ำที่ลงไว้กะเทาะหลุดร่วงแล้วเป็นบางแห่ง แต่ว่ากลับยิ่งทำให้ประตูบานมหึมานี้น่ากลัวมากขึ้นในสายตาเด็ก ๆ อย่างอิงเอ๋อ หมุดทองเหลืองวาววับใหญ่เท่ากับชามข้าวที่ตอกย้ำไว้ตามประตูยิ่งขับเน้นสีแดงคล้ำให้ดูน่ากลัวหนักขึ้น อิงเอ๋อหายใจไม่ทั่วท้อง รู้สึกมือเท้าเย็นไปหมด ห่อผ้าที่กอดเอาไว้แน่นโดนเผิงกงกงสั่งให้กองทิ้งเอาไว้ที่ตึกเล็ก ๆ หลังหนึ่งหลังจากผ่านประตูเข้าไปไม่นาน ก่อนจะจัดแถวใหม่ และให้เดินเรียงแถวเข้าไปที่สวนที่กว้างใหญ่แห่งหนึ่ง
อิงเอ๋อเดินตามเด็กข้างหน้าไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งมาหยุดยืนอยู่บนลานกว้าง ๆ รอบข้างมีแต่ต้นไม้ใหญ่น้อย ลมเย็นพัดมาวูบแล้ววูบเล่า เสียงขันทีที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ลาน ร้องขานชื่อเด็ก ๆ ที่ทยอยเข้ามายืนจนครบสิบห้าคน จากนั้นการคัดตัวก็เริ่มขึ้น
“ห้ามยืนเชิดหน้า ห้ามมองหน้าเจ้านายทุกท่าน ห้ามก้มหน้าดูพื้นดิน ห้ามร้องไห้ ห้ามพูดอะไรทั้งสิ้น สั่งให้ทำอะไรต้องทำตามทันที หากไม่เชื่อฟังจะโดนทำโทษ” เผิงกงกงสั่งรวดเดียวก่อนจะเข้าประตูวัง อิงเอ๋อท่องจนขึ้นใจ และพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่เงยหน้ามอง”เจ้านาย” ทุกท่านที่นั่งเรียงรายกันอยู่บนระเบียงของตึกหลังหนึ่ง เสียงพูดคุยกันเบา ๆ ของบรรดาเจ้านาย แว่ว ๆ มาตามสายลม
อิงเอ๋อบังคับตัวเองให้มองตรงไปข้างหน้าเฉย ๆ แม้ใจจะเต้นแรงจนแทบจะกระดอนออกมานอกอกอยู่แล้ว จนกระทั่งได้ยินเสียงขันทีร้องสั่งเสียงดัง
“คนที่ถูกเรียกชื่อ ให้ยืนอยู่กับที่ก่อน ส่วนพวกที่ไม่ได้เรียกชื่อ ให้เดินตามเผิงกงกงกลับออกไปที่นอกวัง”
“พระโพธิสัตว์กวนอิมเจ้าขา ขออย่าให้ลูกโดนเรียกเลย” อิงเอ๋อวิงวอนในใจต่อพระโพธิสัตว์กวนอิมที่แม่หนูนับถือที่สุดในชีวิต พลางเฝ้าฟังเสียงขันทีขานชื่อเด็กอื่น ๆ หลายคน จนกระทั่ง
“ฮาหลินปาหล่า มู่อิง!”
อิงเอ๋อสะดุ้ง หน้าซีดเผือด ยืนตัวแข็งนิ่งอยู่กับที่ไม่กล้าขยับเขยื้อน หัวใจที่เต้นแรงเหมือนกับหยุดเต้นไปเสียเฉย ๆ ได้แต่เหลือบมองดูเพื่อนเด็ก ๆ ด้วยกัน เดินกลับออกไปจากลานจนหมดอย่างมึนงง ก่อนจะถูกสั่งให้เดินตามขันทีน้อยคนหนึ่ง ออกไปจากลานแห่งนั้น
เด็ก ๆ ที่ถูกเลือกไว้ พากันเดินตามขันทีน้อย ผ่านประตูบานใหญ่อีกบาน ไปตามถนนสายใหญ่ในวัง ที่มีกำแพงสูงลิ่วทาสีแดงฉานขนาบถนนทั้งสองด้าน ทำให้อิงเอ๋อมองไม่เห็นอะไรเลยนอกจากกำแพงและถนน จึงได้แต่เดินตามขบวนไปอย่างเซื่องซึม
จนกระทั่งมาถึงตึกหลังเล็กอีกหลังหนึ่ง ที่มีเด็ก ๆ นั่งรอกันอยู่เป็นกลุ่มใหญ่ พร้อมห่อสัมภาระส่วนตัวที่ถูกเอามารวมไว้ที่นี่ ที่ตึกหลังใหญ่นี่มีขันทีเฒ่าที่ชื่อว่า ตี๋กงกง คอยสั่งการเพื่อส่งเด็กไปตามตำหนักต่าง ๆ ที่ถูกคัดเลือกไว้
“เอาล่ะ...” ตี๋กงกงเอ่ยปาก “พวกเจ้าทุกคนได้ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะไปอยู่ตำหนักไหน จงไปเลือกห่อสัมภาระของเจ้า แล้วก็เดินตามขันทีของแต่ละตำหนักไป จำไว้ เมื่อเจ้าเป็นคนของตำหนักไหน ก็เป็นคนของตำหนักนั้นไปจนกว่าเจ้าจะออกจากวังไป เข้าใจหรือไม่?”
เด็ก ๆ ทุกคนเดินไปเลือกห่อของสัมภาระของตัวเองขึ้นมา แล้วก็ถูกส่งออกไปตามแต่ตี๋กงกงจะสั่ง พอมาถึงอิงเอ๋อ นางถูกลากออกไปส่งให้กับขันทีน้อยอีกคนหนึ่ง
“เสี่ยวติ้งจื่อ...นี่คนใหม่ของตำหนักอี้คุนของเจ้า” พลางผลักไสอิงเอ๋อไปยืนข้าง ๆ ขันทีน้อยหน้าแหลมเสี้ยมผู้หนึ่ง เสี่ยวติ้งจื่อหันมามองเพียงแวบเดียวก่อนจะสั่งว่า
“เดินตามข้ามาดี ๆ ล่ะ อย่ามัวแต่มองไปทางไหน เดี๋ยวหลงทางไปไม่รู้ด้วย ในวังนี้กว้างใหญ่มาก ถ้าเจ้าหลงหายไปล่ะก็ กว่าจะหาเจออีกที เจ้าอาจจะเป็นศพเพราะอดตายอยู่ในวังนี่แล้วก็ได้” ว่าแล้วเสี่ยวติ้งจื่อก็หัวเราะเบา ๆ ด้วยเสียงแหลมแปลก ๆ ที่อิงเอ๋อฟังแล้วรู้สึกขนลุกวาบ
อิงเอ๋อเดินตามเสี่ยวติ้งจื่อไป พลางท่องในใจ
“ห้ามร้องไห้ หากร้องไห้จะต้องโดนทำโทษ “ อิงเอ๋อท่องประโยคนี้กลับไปกลับมาเพื่อปลุกปลอบใจตัวเองไม่ให้ร้องไห้ออกมา แม้เมื่อตระหนักแน่ว่าจะไม่ได้กลับไปบ้านพร้อมกันกับเพื่อน ๆ อีก แต่ในใจก็ยังครุ่นคิดไม่คลาย “นี่ข้าจะไม่ได้กลับบ้านหรือนี่?”
อิงเอ๋อเอื้อมมือไปกระตุกชายเสื้อยาว ของเสี่ยวติ้งจื่อ พลางถาม
“ท่าน....ท่านกำลังจะพาข้าไปส่งที่ประตูวังใช่ไหม...จ๊ะ” อิงเอ๋อพยายามใช้คำลงท้ายอย่างสุภาพ
เสี่ยวติ้งจื่อหันมามองเพียงแวบเดียว ก่อนจะเอ่ยอย่างรำคาญ
“นี่...เจ้ายังไม่รู้อีกหรือ ว่าเจ้าน่ะถูกเลือกไว้เป็นสาวใช้ของตำหนักอี้คุน และก็จะเป็นคนของอี้คุนกงไปชั่วชีวิต! รู้ไว้ซะ!”
อิงเอ๋อน้ำตาไหลพราก ๆ แม้จะท่องแล้วท่องอีกว่า “ห้ามร้องไห้ หากร้องไห้จะถูกลงโทษ” แต่ก็ยากที่จะห้ามน้ำตาให้หยุดไหลได้ จึงได้แต่ร้องไห้พลางเดินพลางตามขันทีเสี่ยวติ้งจื่อไปอย่างเศร้าสร้อย
……………………………
ชายหนุ่มก้าวเดินเป็นจังหวะอย่างสม่ำเสมอไปตามทางเดินสู่เรือนพักของฮูหยินใหญ่ของบ้านสกุลกวา ซึ่งปลูกสร้างอย่างหรูวิจิตรยิ่งกว่าเรือนหลังอื่น ๆ หน้าเรือนมีพ่อบ้านเฉารอดักพบอยู่แล้ว จ้าวซวีค้อมเอวก้มศีรษะทักทายพ่อบ้านสูงวัยผู้มีศักดิ์เสมอตาของตน พ่อบ้านเฉารีบเข้ามากระซิบ
“นายท่านก็รออยู่ด้วย ระวังตัวหน่อยล่ะ...”
จ้าวซวีพยักหน้ารับรู้ แล้วเดินตัวตรงเข้าไปสู่เรือนพัก ซึ่งมีบ่าวรับใช้คอยเปิดประตูรออยู่แล้ว เมื่อเข้าไปสู่ห้องโถงใหญ่ของเรือน ก็เห็นแม่ทัพกวาเย่อเหอ ประมุขคนปัจจุบันของบ้านสกุลกวา และฮูหยินใหญ่นั่งรออยู่ด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“คารวะนายท่าน คารวะท่านแม่ใหญ่”
“นั่งลง” เป็นคำสั่งจากนายท่าน ผู้ซึ่งแท้ที่จริงแล้วก็คือบิดาผู้ให้กำเนิดจ้าวซวีนั่นเอง แต่ว่านับแต่จำความได้ จ้าวซวีก็ถูกอบรมสั่งสอนอย่างเข้มงวดว่าให้เรียกแม่ทัพกวาว่า “นายท่าน” ห้ามเรียกว่า “อาหม่า” หรือ “ท่านพ่อ” ซึ่งจ้าวซวีก็เรียกบิดาตนเองว่า “นายท่าน” เรื่อยมาแม้จนกระทั่งบัดนี้
ชายหนุ่มเดินไปนั่งลงที่เก้าอี้ตัวหนึ่งอย่างเรียบร้อย เพื่อรอฟังว่าจุดประสงค์ที่ถูกเรียกตัวมาวันนี้คืออะไร
“วันนี้เจ้าหายไปไหนมาทั้งวัน” เป็นน้ำเสียงเย็นชาจากท่านแม่ทัพกวาผู้เป็นใหญ่ในบ้านนี้
“ข้าไปเก็บค่าเช่าที่นาที่นอกเมืองครับ”
“นอกเมืองแค่นี้ ทำไมเจ้าไปทั้งวัน? หนำซ้ำยังไม่ไปซ้อมเพลงอาวุธ อีกไม่ถึงเดือนก็ต้องลงประลองแล้ว รู้ไหม เจ้าทำตัวแบบนี้ หากแพ้ขึ้นมา ข้าจะขายหน้าคนอื่นแค่ไหน!”
จ้าวซวีมีสีหน้าเรียบเฉย ไม่ตอบโต้อะไร ฮูหยินใหญ่เห็นท่าทีขุ่นเคืองของสามี จึงพูดขึ้น “อาซวี เจ้ารีบคุกเข่าลงขอโทษท่านพ่อเดี๋ยวนี้”
จ้าวซวีคุกเข่าลง “ข้าผิดไปแล้ว นายท่านโปรดให้อภัย” น้ำเสียงนั้น ฟังดูก็รู้ว่าพูดไปตามคำสั่งเท่านั้นเอง หาได้รู้สึกผิดอันใดไม่
ประมุขของบ้านมีสีหน้าขุ่นเคือง แค่นเสียงดังเฮอะ ก่อนจะสั่งเสียงเฉียบขาด “ต่อแต่นี้ไป เจ้าไม่ต้องไปเก็บบัญชีเก็บค่าเช่าที่อะไรที่ไหนอีก… ให้เจ้าฝึกซ้อมเพลงอาวุธให้ชำนาญจนกว่าจะถึงวันแข่งขัน หากปีนี้เจ้าแข่งขันไม่ผ่าน เจ้าก็เชิญไสหัวออกไปจากบ้านของข้าได้เลย!...”
จ้าวซวียังคงก้มหน้า ตอบรับด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ข้าทราบแล้ว”
แม่ทัพกวาได้ยินเสียงเรียบเฉยนั้น ก็ยิ่งมีโทสะ ตวาดทันที “ไสหัวไป!...ไป!..”
จ้าวซวีคำนับ แล้วล่าถอยออกมาจากห้อง ทันทีที่พ้นลานหน้าเรือนออกมา พ่อบ้านเฉาก็รีบเข้ามาลากตัวไปถาม “ว่าอย่างไร... พ่อของเจ้าโกรธเจ้าเรื่องอะไรอีกหรือเปล่า? ถึงเรียกมาพบแบบนี้”
จ้าวซวียักไหล่อย่างกวนโทสะ “ก็เรื่องเดิม ๆ ว่าข้าไม่ขยันฝึกซ้อมเพลงอาวุธ คงกลัวข้าจะไปแพ้คนอื่นแล้วจะทำให้ตระกูลกวาเสียหน้าเหมือนเมื่อสองปีก่อนนั้นละมั้ง”
พ่อบ้านเฉาผู้มีศักดิ์เป็นตา และเลี้ยงดูจ้าวซวีมาตั้งแต่เล็ก ๆ จึงกล้าที่จะพูดทุกอย่าง “เจ้าก็ขยันฝึกซ้อมให้มาก ๆ เข้า เรื่องเก็บเงินทวงค่าเช่าอะไรนี่ ข้าจะให้เสี่ยวอู้ไปทำแทน เจ้าจะได้มีสมาธิกับการฝึกฝน ถึงวันประลองจะได้เอาชนะได้”
“ท่านตาน้อย...ถ้าข้าชนะประลอง ก็แปลว่าข้าต้องไปรับราชการในกรมทหาร ไม่ก็ต้องเป็นองครักษ์ ข้าไม่อยากเป็นทหาร ท่านก็รู้....เพราะฉะนั้นต่อให้ข้าลงแข่งแล้วชนะได้จริง ข้าก็จะแกล้งแพ้” จ้าวซวีบอกอย่างไม่แยแส
“เฮ้ย!...เจ้าจะทำอย่างนั้นไม่ได้นะ! ถ้าท่านแม่ทัพรู้เรื่องเข้าคงต้องฆ่าเจ้าแน่ ๆ แล้วคนทุกในจวนนี้ก็จะดูถูกดูหมิ่นเจ้า” พ่อบ้านเฉากระซิบเสียงเครียดจัด
จ้าวซวีมีสีหน้านิ่งก็จริง แต่แววตานั้นแฝงความดุดัน “ทุกวันนี้เขาก็ดูถูกดูหมิ่นข้าตลอดอยู่แล้ว ส่วนท่านแม่ทัพกวาน่ะหรือ เขาบอกว่าหากข้าแข่งขันไม่ผ่านในปีนี้ ก็จะไล่ข้าออกจากบ้าน”
“แล้วเจ้ายังจะทำเป็นเล่นอีก ไม่รีบไปฝึกซ้อม…เกิดถูกไล่ออกจากบ้านจริง ๆ จะทำอย่างไร?”
“ก็ดีเหมือนกัน ข้าก็จะพาแม่กลับไปอยู่บ้านท่านตาที่ซูโจวเสียที ข้าเบื่อที่นี่เต็มทีแล้ว”
“เจ้าจะบ้าเหรอ! อยู่ที่นี่ได้เป็นคุณชายดี ๆ ไม่ชอบ กลับอยากไปทนลำบากที่ซูโจว… ข้าถามหน่อย เจ้าจะไปทำอะไรที่ซูโจว…ไปทำนา…หรือไปปลูกหม่อนเลี้ยงไหม…หรือทอผ้า ...เจ้านี่เสียสติไปหรือยังไง...หา!” เฉาจิ้นโกรธจริง ๆ แล้ว
จ้าวซวีมองหน้าท่านตาของตัวเอง แล้วก็เดินจากไปอย่างไม่สนใจเรื่องนี้อีก เพราะเรื่องถูกดุด่า โดนลงโทษแบบนี้จากแม่ทัพกวา เป็นสิ่งที่จ้าวซวีโดนบ่อยครั้งจนเริ่มจะชาชิน เมื่อชาชินแล้วก็เลิกกังวล ทิ้งให้เฉาจิ้นผู้มีศักดิ์เป็นตาได้แต่ยืนขยี้เท้าด้วยความขุ่นเคืองอยู่ตรงนั้นเอง