หงสาประกาศิต ตอนที่ 1
มือข้าสกปรก
ฤดูหนาว ปีฉางซีที่สิบห้า
ณ เมืองตี้จิง เมืองหลวงแห่งราชวงศ์เทียนเซิ่ง
หมอกลงหนาจัดตั้งแต่เช้าตรู่ เกล็ดหิมะปกคลุมบนหลังคากระเบื้องเคลือบสีแดงเข้มของจวนตระกูลชิวที่อยู่ในตรอกซีหวาจนเกิดละอองสีขาวบางเบาขึ้นเป็นชั้น สีแดงเข้มที่อยู่ใต้ละอองหิมะยิ่งดูสดใส ชุ่มฉ่ำน่ารักราวกับผลไม้ที่ถูกแช่แข็งในเกล็ดหิมะมา
ผลไม้แช่แข็ง...เฟิ่งจือเวยกลืนน้ำลายที่สอออกมา ลูบท้องที่จู่ๆ ก็ส่งเสียงโครกคราก
ลูกพลับที่สุกงอมในตอนปลายฤดูใบไม้ร่วงผ่านการแช่แข็งจากหิมะแรกในฤดูหนาว หมักเพิ่มด้วยน้ำผึ้งเดือนเก้าชั้นเลิศ จัดใส่จานกระเบื้องเคลือบก้นตื้นจากอำเภอจิ่งเฟิง สีแดงสดวาววับราวกระจก ดูดเข้าไปหนึ่งคำให้ความรู้สึกหวานเย็นชื่นใจ ลื่นคอเหมือนหยกไหลสู่ก้นบึ้งหัวใจ ปลอบประโลมความร้อนระอุที่ยากจะทานทนกลางใจของนาง
น่าเสียดาย...นั่นคล้ายจะเป็นความสุขที่ได้ลิ้มรสในชาติที่แล้ว...
เฟิ่งจือเวยเงยหน้าขึ้นอย่างใจลอย ถอนหายใจด้วยเสียงแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน ขยับไม้กวาดในมือไปมาอย่างเกียจคร้าน กวาดหิมะที่ทับถมบนทางลงยังทะเลสาบข้างทาง
ด้ามไม้กวาดเย็นเฉียบซ้ำยังมีน้ำแข็งจับ คนทั่วไปแค่มองเห็นก็รู้สึกหนาวเหน็บ แต่เฟิ่งจือเวยกลับจับไว้อย่างสบาย ๆ รู้สึกว่าความเย็นนั้นทำให้ตนรู้สึกสบายตัวจริงๆ
จู่ ๆ ด้านหลังพลันมีเสียงห่วงกระทบกันแว่วมา ตามด้วยกลิ่นหอมฉุนที่ลอยมากระทบ เฟิ่งจือเวยมิได้หันไป กลับสะบัดไม้กวาดในมือ ก้อนน้ำแข็งที่เกาะตัวอยู่บางส่วนหล่นลงมากลิ้งอยู่บนพื้นเบื้องหน้า
“อ้าว นี่มิใช่คุณหนูเฟิ่งของบ้านเราหรอกหรือ?” เสียงจากสตรีด้านหลังแฝงแววหัวเราะ ในเสียงหัวเราะเผยให้เห็นความเย้ยหยันดูแคลน “เช้าตรู่ปานนี้ มาทำอะไรล่ะนี่?”
“อย่างที่ท่านเห็นนั่นแหละ” เฟิ่งจือเวยหันกลับมา รวบไม้กวาด “กวาดหิมะ”
“งานของพวกคนรับใช้แบบนี้ จะมาให้คุณหนูผู้เป็นหลานสาวอันสูงศักดิ์ทำได้อย่างไรกันเล่า?” สตรีวัยยี่สิบเศษ แต่งหน้าอย่างประณีต หางตาคู่ที่เฉี่่ยวขึ้นเล็กน้อยนั้นแต้มชาดสีกุหลาบบางเบาอันเป็นแบบที่เรียกว่า “ลักยิ้มเหิน” ซึ่งเป็นการแต่งหน้าที่นิยมที่สุดของเมืองหลวงในฤดูหนาวปีนี้ “ถ้าท่านลุงของเจ้ารู้เข้า ไม่รู้ว่าจะปวดใจแค่ไหนนะนี่”
เฟิ่งจือเวยยิ้มน้อย ๆ หลุบตาลง
“ท่านลุงงานยุ่งตลอดทั้งวัน จะให้เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้รบกวนท่านได้อย่างไร มีเพียงป้าสะใภ้ห้าใส่ใจข้าก็เพียงพอแล้ว”
“ก็ถูก ลุงของเจ้าเป็นถึงผู้บัญชาการทหารห้าทัพ ขุนนางฝ่ายทหารอันดับหนึ่งของราชวงศ์เทียนเซิ่ง ไม่มีเวลามาจัดการเรื่องจิปาถะในบ้านหรอก เจ้ารู้จักเจียมตน ป้าสะใภ้ก็ย่อมต้องดูแลเจ้า” อนุภรรยาลำดับห้า ที่สิ้นความโปรดปรานไปตั้งนานแล้วของจวนตระกูลชิว มองใบหน้าที่หลุบตามองต่ำอย่างอ่อนน้อมของเฟิ่งจือเวยอย่างพอใจ...เด็กคนนี้ใจคอหนักแน่นอารมณ์เย็นตลอด จะเสียดสีเหน็บแนมอย่างไรก็ไม่โกรธ ช่างนึกไม่ถึงว่าอาหญิงของบ้านตระกูลชิวที่หน้าไม่อายคนนั้นจะมีลูกสาวที่อ่อนโยนอย่างนี้
“เหตุใดวันนี้ป้าสะใภ้จึงออกมาเพียงคนเดียวเล่า?” เฟิ่งจือเวยถอยไปอยู่อีกด้านอย่างนอบน้อม วางไม้กวาดพิงไว้ แม้แต่คำว่า “ห้า” ก็ละทิ้งไปเสียอย่างนั้น
อนุลำดับห้าได้ยินคำเรียกเช่นนี้ก็อารมณ์ดียิ่ง นิ้วเรียวยาวค่อยๆ แตะไว้ข้างริมฝีปากจนเล็บสีแดงสดลอยเด่นสะดุดตา ยิ้มพลางพูดว่า “เห็นว่าเรือนด้านหน้ามีคนมา อาจจะต้องให้ข้าคอยต้อนรับ...อืม เจ้าไม่ต้องถามมากแล้ว”
เฟิ่งจือเวยก้มหน้าเล็กน้อย ใบหน้าไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ ...สังคมในสมัยราชวงศ์เทียนเซิ่งค่อนข้างเปิดกว้าง เชื้อพระวงศ์และขุนนางยิ่งเสเพลไร้กรอบ มีการสังสรรกันเป็นประจำ การใช้นางคณิการ่วมกัน หรือแลกเปลี่ยนนางบำเรอกันเป็นเรื่องปกติ นางบำเรอในจวนตระกูลชิวมีมากมาย อนุห้าความงามยังไม่สร่างแต่สามีร้างรักไปแล้ว อยู่ในจวนตระกูลชิวอย่างเปล่าเปลี่ยว วันนี้แต่งกายสวยหรูแต่เช้าตรู่แอบไปเรือนด้านหน้าเพียงคนเดียว คงเพราะได้ยินว่าจะมีคนใหญ่คนโตสักคนมาเสียแปดส่วน หวังจะให้เกิดการ “ตะลึงงันเมื่อได้พานพบ” อะไรแบบนั้น เผื่อจะได้เป็นมัจฉาแปลงกาย เปลี่ยนจากสภาพที่เป็นอยู่นี้
ที่ไม่รู้ก็คือ ใครกันที่เป็นผู้โชคร้ายคนนั้น
“ป้าสะใภ้จะไม่มีคนรับใช้ข้างกายได้อย่างไรกัน? ” เฟิ่งจือเวยวางไม้กวาดลง ยื่นมือออกไปจะพยุงอนุห้า “ข้าประคองท่านเอง”
“ไม่! มือเจ้าสกปรก!” อนุห้าปัดมือของนางออก เหลือบมองนิ้วมือที่เปรอะหิมะของนางอย่างรังเกียจ แล้วมองหน้าผากที่แดงเรื่ออย่างผิดปกติของนาง ก่อนจะถอยไปก้าวหนึ่งราวกับหลีกหนีโรคติดต่อร้ายแรง
เฟิ่งจือเวยยิ้มอย่างเจียมตัว หดมือเข้าไปในแขนเสื้อ
“เจ้าก็อายุสิบห้าแล้ว จะอยู่แต่ในเรือนด้านหลังก็ใช่ที่” อนุห้ายืนอยู่ข้างกองหิมะ ปรายหางตามองนางแว่บหนึ่ง “วันหลังข้าจะคุยกับท่านฮูหยินให้หาคู่ให้เจ้าสักคน อย่างที่เจ้าก็รู้ ลูกชายของพ่อบ้านหลิวที่เรือนด้านหน้า ข้าว่าก็ไม่เลว”
ไม่เลวจริง ๆ...เรียนส่วนตัวที่บ้านตั้งห้าปีเต็มๆ แล้ว “คัมภีร์ตรีอักษร”[1] ยังท่องไม่จบเลย
เฟิ่งจือเวยยังคงยิ้ม ยิ้มจนดูอ่อนโยนและสงบเสงี่ยมกว่าที่เคย สีผิวค่อนไปทางเหลือง นัยน์ตาคู่งามสวยสดใสกลอกกลิ้งไปมา ค่อย ๆ ก่อเกิดเป็นความงดงามเย้ายวนเหมือนห้วงเวลาที่เริงระบำ
อนุลำดับห้าเหลือบมองนางแวบหนึ่ง ในใจพลันคิด...เด็กคนนี้ หากไม่ใช่เพราะสีผิวแย่ไปหน่อย ก็ดูดีจริงๆ ทั้งรูปร่างหน้าตา มิน่าเล่าถึงได้มีคนบอกว่านางมีส่วนคล้ายคนผู้นั้น...
แต่ว่ารูปร่างหน้าตาดีแล้วอย่างไรเล่า ชาติกำเนิดที่เหม็นเน่าฉาวโฉ่ขนาดนั้น แล้วยังเป็นคนขี้โรคที่อยู่ได้ไม่นาน ดอกไม้งามที่สูญเปล่า ถูกลิขิตมาแล้วว่าต้องร่วงในโคลนตม
นางยิ้มเหยียดหยันคราหนึ่ง รู้สึกว่าวันนี้พูดกับเด็กคนนี้มากพอแล้ว หากเป็นเมื่อก่อนจะมีอารมณ์มาสนใจนางเสียที่ไหน ถ้าไม่ใช่เพราะฉู่หวางมา แล้วขอนัดพบนางเป็นการส่วนตัวที่เรือนด้านหลังทำให้ในใจนางราวกับดอกไม้บานสะพรั่ง นางคงไม่ยุ่งกับเรื่องแต่งงานของเด็กคนนี้หรอก
นางเชิดหน้าขึ้น ส่งเสียงเฮอะอย่างเย็นชา คิดถึงฉู่หวางผู้ได้รับการกล่าวขานว่ามีรูปโฉมงามล้ำโดดเด่นเป็นอันดับหนึ่งในราชวงศ์เทียนเซิ่ง คิดถึงว่านับจากนี้ตนเองจะได้หลุดพ้นจากวันเวลาอันเปล่าเปลี่ยวในจวนตระกูลชิว ปลายคิ้วหางตาก็เต็มไปด้วยความพออกพอใจ สาวเท้าก้าวจากไป
พรืด
ใต้เท้าพลันลื่นไถล เหยียบลงบนก้อนน้ำแข็งลื่น ๆ เม็ดเล็กๆ ฮูหยินอันดับห้ายืนไม่อยู่ ล้มหงายไปด้านหลัง นางตกใจร้องเสียงหลง ยื่นมือคว้าสะเปะสะปะตามสัญชาตญาณ ปลายนิ้วเกือบคว้าด้ามไม้กวาดที่ปักอยู่ในกองหิมะด้านข้างได้
แต่แล้วเฟิ่งจือเวยพลันหยิบไม้กวาดออก
อนุลำดับห้าคว้าอากาศ ล้มลงบนพื้นดังปัง บนพื้นน้ำแข็งที่มีชั้นหิมะบางๆอยู่นั้นลื่นมาก อนุห้าจึงลื่นไถลออกไปทันทีที่ล้มลง เบื้องหน้าก็คือทะเลสาบที่แข็งตัวเป็นน้ำแข็งยะเยือกบาดกระดูกในฤดูหนาวที่โหดร้าย
ในสภาพที่ฟ้าดินหมุนเคว้ง อนุห้าตะโกนด้วยความตื่นตระหนกตามสัญชาตญาณ “พยุงข้าที! พยุงข้า!”
เฟิ่งจือเวยมองสตรีนางนั้นลื่นไถลไปตามทาง พลางค่อย ๆ หดมือเข้าไปในชายแขนเสื้อ พูดอย่างนุ่มนวลว่า “ไม่...มือข้าสกปรก”
ตูม!
เสียงคนตกน้ำฟังแล้วช่างแผ่วเบาไร้ความสำคัญถึงเพียงนั้น เฟิ่งจือเวยหัวเราะ หยิบไม้กวาดเดินไปริมทะเลสาบ คาดไม่ถึงว่าอนุลำดับห้าจะพอว่ายน้ำได้บ้าง เลยตะเกียกตะกายดิ้นรนอยู่ในน้ำ ทว่าน้ำเย็นเกินไป ใบหน้าของนางเปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำภายในพริบตา มวยผมดำเป็นมันเงาที่เกล้าไว้หลุดลุ่ยลงมา เปียกโชกเกาะแนบอยู่บนใบหน้า เหมือนงูสีดำขยับเลื้อยยั้วเยี้ย นางดูเหมือนจะหนาวจนร้องไม่ออกแล้ว ทั้งยังดูเหมือนเฟิ่งจือเวยคงจะไม่ช่วยนาง ดังนั้นนางจึงขยับว่ายเข้าหาฝั่งอย่างไม่คิดชีวิต
เฟิ่งจือเวยนั่งยอง ๆ อยู่ริมสระ มองอย่างเงียบสงบ ที่ตรงนี้เดิมทีก็ลับตาคน เรือนด้านหน้าก็มีงานแต่เช้าตรู่ยิ่งไม่มีคนมาแน่นอน อนุลำดับห้าเสียสติไปแล้วถึงผ่านมาทางนี้ รนหาที่ตายจริงๆ
คนที่ตัวเปียกโชกว่ายเข้ามา นิ้วมือสั่นเทาเกือบแตะถึงริมฝั่ง เฟิ่งจือเวยขยับไม้กวาดเบาๆ ปัดมือนางออก
การปัดครั้งนี้เพื่อท่านแม่
ปีนั้นท่านแม่พานางและน้องชายกลับมาที่จวนตระกูลชิว คุกเข่าอยู่หน้าจวนตระกูลชิวสามวันสามคืน จนวันที่สามประตูเปิดออก น้ำล้างเท้าหนึ่งอ่างถูกสาดออกโครมออกมา ผู้ที่ถืออ่างน้ำล้างเท้าด้านหลังประตูก็คือสาวใช้ของอนุลำดับห้าคนนี้
นั่นเป็นวันที่หิมะตกหนัก หนาวยิ่งกว่าวันนี้ นางคุกเข่าอยู่ด้านหลังท่านแม่มองเห็นน้ำล้างเท้าค่อยๆกลายเป็นน้ำแข็งเกาะตามผมของมารดาทีละหยดทีละหยด หลังจากนั้นท่านแม่ก็ไข้ขึ้นสูงสามวันสามคืน เกือบถึงแก่ชีวิต
...อนุห้าว่ายเข้ามาครั้งที่สอง ผิวน้ำบนทะเลสาบกระเพื่อมเป็นวงกว้าง การเคลื่อนไหวของนางช้าลงมาก นิ้วมือแข็งทื่อ หวังจะจับหินก้อนหนึ่งที่อยู่ริมฝั่ง
ไม้กวาดของเฟิ่งจือเวยยื่นออก กระแทกอนุภรรยาลำดับห้าออกไป
การกระแทกครั้งนี้เพื่อตัวนางเอง
พ่อบ้านหลิวเป็นญาติห่างๆ ของอนุห้า ถูกใจจือเวยตั้งนานแล้ว ทีแรกก็สู่ขอนางเพื่อให้เป็นภรรยาคนที่สองของตนเอง หลังถูกปฏิเสธก็สู่ขอนางให้กับลูกชายแสนโง่ของตนเอง เห็นได้ชัดว่าคิดจะให้พ่อลูกใช้ภรรยาคนเดียวกัน เพื่อเรื่องนี้แล้วท่านแม่อาละวาดจนไปถึงท่านลุง พ่อลูกคู่นี้ถึงได้ยอมหยุดเรื่องนี้ลง แต่เมื่อไม่กี่วันก่อน พ่อบ้านหลิวขังนางไว้ในห้องเก่าๆ ที่ไม่มีคนย่างกรายเข้าไป หากไม่ใช่เพราะนางพกกรรไกรไว้กับตัว เฟิ่งจือเวยในตอนนี้ถ้าไม่ใช่ภรรยาของทั้งพ่อทั้งลูก ก็คงถูกไล่ออกจากจวนตระกูลชิวเพราะเสียพรหมจรรย์
...อนุห้าว่ายเข้ามาครั้งที่สาม นึกไม่ถึงว่าผู้หญิงคนนี้จะมีความเหี้ยมอยู่ไม่น้อย นางถึงกับไม่คิดจะคว้าก้อนหินที่อยู่ริมฝั่งอีกต่อไป แต่กลับคว้าไม้กวาด โถมตัวกอดไว้แน่นก่อนจะลากลงมา
ตู้ม !
เฟิ่งจือเวยไม่ทันได้ระวังตัวจึงถูกนางลากลงน้ำไปด้วย!
น้ำในทะเลสาบที่เย็นเยียบเสียดกระดูกท่วมร่างจนจมในชั่วพริบตา เฟิ่งจือเวยตัวสั่นระริก นึกว่าตนเองจะถูกแช่แข็งในทันทีเสียแล้ว แต่หลังจากความเย็นเยียบในตอนแรกผ่านพ้นไป กระแสความร้อนระอุที่ไม่เคยห่างหายในร่างกายก็พลันปะทุออกมา ไหลเวียนไปทั่วร่างกายดั่งน้ำพุร้อนเข้าปะทะกับความหนาวเย็นภายนอกร่างกาย รวมกันกลายเป็นความอุ่นสบายราวกับธารน้ำอุ่น แล่นผ่านทุกอณูในร่างกาย
เฟิ่งจือเวยนิ่งงันไป ลูบหน้าอกตามสัญชาตญาณ ตั้งแต่เล็กนางก็เป็นโรคประหลาดเกี่ยวกับความร้อนในร่างกาย ที่ร้อนระอุอยู่ตลอดเวลา แผดเผาร่างกายราวกับไฟ จึงโหยหาความเย็นเป็นที่สุด หมอฟันธงว่านางอยู่ได้ไม่เกินอายุยี่สิบ ในสายตาของทุกคน นางคือคนที่กำลังจะตาย
โรคนี้...คงอาการหนักขึ้นแล้วสิ? แม้แต่น้ำในทะเลสาบในฤดูหนาวยังไม่รู้สึกว่าเย็น
จู่ ๆ หนังศีรษะก็ตึง สตรีที่อยู่ด้านข้างคว้าผมนางไว้เต็มกำ เฟิ่งจือเวยหันกลับไปเห็นใบหน้าที่ส่อเค้าใกล้ตายแฝงรอยยิ้มชั่วร้าย นิ้วมือเลื้อยพันผมของนางแน่นเหมือนเถาองุ่น ประสงค์จะให้นางจมลงไปด้วยกัน
เฟิ่งจือเวยเอียงศีรษะ ส่งยิ้มให้นาง
ฉับ
เงาวาววับของกรรไกรสะท้อนประกายบนผิวทะเลสาบสีเขียวหยก ปอยผมสีดำพลิ้วละล่องลงบนผิวน้ำ ลอยกระจายไปเป็นเส้น ๆ
อนุห้าที่คว้าอากาศยื้อต่อไปไม่ไหว ศีรษะผลุบโผล่เหนือผิวน้ำเป็นครั้งสุดท้ายแล้วจมลงไปอย่างไร้สุ้มเสียง
เฟิ่งจือเวยใช้เท้าข้างหนึ่งเหยียบลงบนศีรษะอนุห้า เหยียบจนนางยิ่งจมลึกกว่าเดิม ในเมื่ออย่างไรเสียก็ต้องตาย จะตายเร็วหน่อยก็ไม่เป็นไรหรอก
นางยืมแรงนี้ถีบตัวเองลอยขึ้น พลางม้วนเส้นผมที่เปียกโชกอยู่ในน้ำ
น้ำในทะเลสาบนี้ทำให้ความร้อนระอุในตัวนางหายไปหมด นางรู้สึกตัวเบาหวิวสติแจ่มชัด สบายจนไม่อยากจะขึ้นจากน้ำ
ดังนั้นนางจึงแช่ตัวอยู่ในน้ำ คิดวิธีจัดการกับเรื่องนี้ จะกลบเกลื่อนร่องรอยบนฝั่งอย่างไรหมด จะอธิบายให้ท่านแม่ฟังอย่างไรเรื่องผมที่จู่ๆ ก็สั้นลงกับเสื้อผ้าที่เปียกปอน
เรื่องเหล่านี้ไม่เป็นปัญหาสำหรับนาง ผ่านไปชั่วครู่ นางก็ยื่นมือคว้าก้อนหินริมฝั่งเตรียมขึ้นจากน้ำ สายตากวาดไปบนผิวน้ำโดยไม่ได้ตั้งใจ ร่างนางแข็งทื่อในทันใด
เงายาวพลิ้วของชายแขนเสื้อสะท้อนอยู่บนผิวทะเลสาบที่เรียบเหมือนกระจก!
[1]คัมภีร์ตรีอักษร หรือซานจื้อจิง คือหนังสือเรียนขั้นพื้นฐานของชาวจีนในสมัยโบราณ