หงสาประกาศิต ตอนที่ 3
ล้วนเป็นหายนะที่หมั่นโถวนำมาทั้งสิ้น
มุมอับที่สุดของจวนตระกูลชิวด้านตะวันตกเฉียงเหนือ มีเรือนเล็กที่เปิดประตูค้างไว้ครึ่งบาน เรือนนี้ไม่มีชื่อเรือน ก่อนหน้านี้ที่นี่เป็นส่วนหนึ่งของที่พักสำหรับคนรับใช้ ภายหลังถูกแบ่งออกมาเป็นที่อยู่ให้กับอาหญิงที่แต่งงานออกไปแล้วของตระกูลชิว ซึ่งอย่างไรเสียก็ต้องถือว่าเป็นเจ้านายคนหนึ่งเช่นกัน จึงได้ใช้กำแพงเตี้ยๆ กั้นไว้ นับเป็นการไว้หน้าผู้เคยเป็นคุณหนูใหญ่ตระกูลชิว แต่ก็ไว้หน้าแค่จุดนี้เท่านั้น สิ่งอื่นที่นอกเหนือไปจากนี้ ไม่ว่าเครื่องเรือนเครื่องใช้ หรือการจัดวางล้วนเหมือนกับพวกคนใช้ทุกประการ
ทีแรกฮูหยินเป็นคนแบ่งห้องนี้ออกมาให้ด้วยตัวเอง เดิมทีคิดว่าคนถือตัวเย่อหยิ่งอย่างน้องสาวสามีผู้นี้จะต้องอาละวาดสักครั้ง นึกไม่ถึงว่าตั้งแต่เฟิ่งฮูหยินชิวหมิงอิงออกจากบ้านหนีตามผู้อื่นไปจนกระทั่งหลายปีให้หลังจึงพาลูกสาวลูกชายสองคนกลับมา ถึงกับเปลี่ยนนิสัยต่างไปจากตอนแรก กลายเป็นคนยอมรับทุกการจัดการของพี่ชายและพี่สะใภ้อย่างว่าง่าย
ก็ตอนแรกเคยดูหมิ่นเหยียดหยามตระกูลชิว ซ้ำยังอับจนหนทางจนต้องซมซานกลับมาเอง จะมีสิทธิ์มาเรื่องมากได้อย่างไร?
เฟิ่งจือเวยพุ่งตัวไปยังโต๊ะอาหารทันทีที่เข้ามาในเรือน ตั้งแต่เช้าตรู่ทั้งฆ่าคนทั้งตกน้ำทั้งถูกคนกอด ๆ รัดๆ นางหิวจนท้องกิ่วตั้งนานแล้ว
บนโต๊ะอาหารมีวุ้นเส้นผักกาดขาววางอยู่ชามหนึ่ง แล้วยังมีหมั่นโถวอีกสองลูก ล้วนแต่หายร้อนหมดแล้ว วุ้นเส้นกลายเป็นแกงจืดเขละๆ หมั่นโถวก็แข็งเหมือนอิฐที่ใช้ก่อกำแพงเมือง คุณหนูใหญ่ตระกูลชิวที่บัดนี้คือเฟิ่งฮูหยินนั่งอยู่บนด้านหนึ่งของโต๊ะเตี้ยที่ขาพังไปแล้วหนึ่งข้าง กำลังพยายามใช้มีดเล่มเล็กเฉือนรอยสกปรกดำน่าเกลียดออกจากบนโต๊ะ
เมื่อเห็นเฟิ่งจือเวยเข้ามา นางหยิบหมั่นโถวก้อนหนึ่งขึ้นมาอย่างระมัดระวัง เรียกเฟิ่งจือเวย “เวยเอ๋อร์ มากินเถอะ” พร้อมทั้งขมวดคิ้ว “สีที่ปลอมไว้บนหน้าหายไปไหน?”
“เพิ่งจะหกล้มหน้าเปื้อนเลยล้างออก ไว้จะออกไปค่อยแต่งใหม่” เฟิ่งจือเวยขมวดคิ้วนั่งลง มองโต๊ะอาหาร “มีสามคนแท้ ๆ ทำไมให้หมั่นโถวแค่สองลูกเล่า?”
“พ่อบ้านจ้าวบอกว่าพรุ่งนี้ฝ่าบาทจะเสด็จจวนตระกูลชิว ห้องครัวยุ่งมาก ก็เลยมีแค่พวกนี้” เฟิ่งฮูหยินไม่แตะหมั่นโถว ค่อยๆ ตักน้ำแกงวุ้นเส้นดื่มช้าๆ
เฟิ่งจือเวยไม่พูดอะไร เคี้ยวหมั่นโถวพลางมองนาง นัยน์ตาคู่นั้นหม่นมัวดูคล้ายอ่อนโยน แต่ยามสายตานั้นจ้องมองแน่นิ่งกลับดูมีประกายสูงศักดิ์โดยธรรมชาติ
เฟิ่งฮูหยินจนปัญญา ได้แต่พูดว่า “ว่ากันว่าองค์หญิงสาวหนิงก็จะมาด้วย”
เฟิ่งจือเวยร้อง “อ้อ” คราหนึ่ง ก่อนจะรีบเก็บสายตา กัดหมั่นโถวต่อไป... สาวหนิงมา พวกลูกชายของท่านลุงต่างตื่นเต้นกันทั้งนั้น ทั่วทั้งจวนต่างกระตือรือร้นยุ่งแต่จะประจบ พวกห้องครัวก็ล้วนแต่สนองตอบความช่างเลือกกินขององค์หญิง ตนเองที่อยู่ที่นี่จึงได้แต่กินอาหารค้างคืน
เป็นธรรมดามาก ชินแล้วเดี๋ยวก็ดีเอง
สองคนแม่ลูกกินไปพลางคุยไปพลาง
“ฝ่าบาทเสด็จออกจากวังมาทำอะไร?”
“หลายวันก่อนเกิดภัยหนาว ในเมืองหลวงมีคนแข็งตายไม่น้อย บรรดาขุนนางกรมเมืองทั้งหลายกำลังแจกข้าวต้มเพื่อบรรเทาทุกข์ ฝ่าบาทคงจะเสด็จไปดูสถานการณ์”
“ไปดูการบรรเทาทุกข์คงไม่จริง ไปดูข้าราชการฝ่ายกรมเมืองที่ฉู่อ๋องเป็นคนดูแลว่าบกพร่องต่อหน้าที่ถึงจะเป็นเรื่องจริงล่ะสิ? ” เฟิ่งจือเวยออกแรงฉีกเปลือกหมั่นโถว “ไม่กี่วันก่อนองค์รัชทายาทรับสาวงามจากซีเหลียงสองสามนางมาเป็นสนม เลยถูกกล่าวโทษ ถูกห้ามใช้อำนาจในตำแหน่งรัชทายาท ทิศทางลมในราชสำนักพัดหวนวุ่นวาย ฉู่อ๋องเป็นพรรคพวกของรัชทายาท ก็ต้องมีคนคอยทุ่มหินลงบ่อ[1]เป็นธรรมดา”
“จือเวย” เฟิ่งฮูหยินวางตะเกียบลง “บอกเจ้ากี่ครั้งแล้ว พวกเราเหล่าสตรีอย่าได้วิพากษ์วิจารณ์เรื่องบ้านเมือง”
“คำพูดนี้ช่างแปลกเสียจริง” เฟิ่งจือเวยวางหมั่นโถวลง ยิ้มน้อยๆ มองเฟิ่งฮูหยิน “หากคนไม่รู้จักได้ยินเข้า คงจะนึกว่าเฟิ่งฮูหยินของเราเป็นกุลสตรีที่อบอุ่นมีใจเมตตา ไม่ถามไถ่เรื่องบ้านเมือง ตั้งใจอบรมบุตร”
“แล้วไม่ใช่หรืออย่างไร?” เฟิ่งฮูหยินไม่ใส่ใจนาง คีบวุ้นเส้นขึ้นมาอย่างระมัดระวัง ขมวดคิ้วไปนึกถึงสิ่งของที่คล้ายกันบนโลกใบนี้ บางครั้งก็ต่างกันราวฟ้ากับดิน อย่างเช่นวุ้นเส้นนี่ มองดูเหมือนเส้นหูฉลามที่เคยกินเป็นประจำเมื่อตอนนั้น หูฉลามชั้นเลิศทั้งชิ้นที่มาในโถหยก แกงจืดไก่ตุ๋นที่ไม่ต้องปรุงอะไรเลย ยังมีเป๋าฮื้อสดตัวโตกับแฮมยูนนานชั้นเลิศ ใช้ใบบัวห่อแล้วนำมาตุ๋นด้วยกัน เมื่อปรุงเสร็จแล้วเนื้อนุ่มชุ่มคอ กลิ่นหอมของใบบัวแผ่กระจาย...ก็เหมือนอย่างเช่นคนนี่เอง จือเวยกับสาวหนิงมีรูปร่างหน้าตาคล้ายคลึงกันถึงเพียงนั้น แต่สภาพการณ์และศักดิ์ฐานะกลับต่างกันเหมือนเมฆกับโคลน...ช่างเถอะ จะคิดมากขนาดนั้นทำไมกันเล่า ต่างก็มีชะตาชีวิตของตนเอง
นางกินข้าวอย่างเอร็ดอร่อย แม้แต่หน้าก็ไม่เงยขึ้นมา
เฟิ่งจือเวยยังคงยิ้ม พูดอย่างแช่มช้า “ใช่แล้ว ไม่มีอะไรผิด เฟิ่งฮูหยินก็เป็นแบบนี้มาโดยตลอด ส่วนที่ว่าแม่เสือสาวตระกูลนักรบ แม่ทัพอัจฉริยะ อายุสิบปีตามบิดาออกรบ อายุสิบสองสังหารคนด้วยมือตนเอง อายุสิบสี่รับบัญชาเสี่ยงชีวิตกอบกู้วิกฤตการณ์ที่ยากจะกู้ไหวในสนามรบกลางทะเลทราย โดยนำทหารหาญที่ถอดเสื้อเปลือยท่อนบนสามหมื่นนายต่อสู้กับกองทัพฝ่ายศัตรู สังหารจนศีรษะกลิ้งเกลื่อนกลาด ทรายสีเหลืองถูกย้อมด้วยเลือด ชื่อเสียงโด่งดังเป็นที่นับถือไปทั่วหล้าในการรบเพียงครั้งเดียว ผู้คนขนานนามว่าหงสาอัคคี....”
“พอแล้ว” เฟิ่งฮูหยินตัดบทนางอย่างสงบ พินิจปริมาณวุ้นเส้นผักกาดขาวก่อนจะตักมาอีกหน่อย
เฟิ่งจือเวยทำเหมือนไม่ได้ยิน
“...ผู้คนขนานนามว่าหงสาอัคคีชิวหมิงอิง....” นางลุกพรวดขึ้นเท้าโต๊ะ ยื่นใบหน้างดงามหมดจดไปจ่อตรงหน้าเฟิ่งฮูหยิน จ้องตรงเข้าไปในดวงตาของนาง “...ตายแล้ว ตายไปแล้ว”
ปัง!
ชามและตะเกียบบนโต๊ะสะเทือน เกิดเสียงเคร้งคร้างดังขึ้น เฟิ่งฮูหยินที่กดมือบนโต๊ะขมวดคิ้วจ้องเขม็ง ชั่วขณะหนึ่งที่สายตาระบายไปด้วยความโกรธดุจสายฟ้าอันดุดันบีบคั้นผู้คน มองเห็นร่องรอยความงามสง่าของแม่ทัพหญิงผู้เย้ยฟ้าท้าดินในตอนนั้นได้เลือนราง
เฟิ่งจือเวยเพียงยิ้มน้อย ๆ ไม่ยอมขยับ
แรงสั่นสะเทือนยังไม่หมดไป น้ำแกงผักกาดขาวในชามที่แตกไปครึ่งหนึ่งสาดตรงสู่เฟิ่งจือเวย เฟิ่งจือเวยก้มมองทั้งๆ รอยยิ้มจาง ๆ โดยยังคงไม่ขยับตัว แม้แต่ขนตาสักเส้นก็ไม่กระดิก
กลับเป็นเฟิ่งฮูหยินที่จ้องนางเขม็งด้วยความโกรธ มองหน้านางนิ่ง จู่ๆ ก็ถอนหายใจ ยื่นนิ้วกดเพียงคราเดียว ชามตะเกียบที่สั่นสะเทือนอยู่บนโต๊ะก็หยุดลงพร้อมกันในทันใด หยดน้ำแกงที่กระเด็นออกมาเปื้อนอยู่บนนิ้วของเฟิ่งฮูหยิน เฟิ่งฮูหยินคิดจะดูด แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นสบสายตาเฟิ่งจือเวยก็รีบเช็ดมือกับกระโปรง
“ช่างเถิด...ล้วนผ่านไปหมดแล้ว” แม่ทัพหญิงผุ้ดุดันหายไปในชั่วพริบตา ที่นั่งอยู่ตรงหน้าเฟิ่งจือเวยมีเพียงสตรีกอดชามแตกๆ ดื่มน้ำแกงผักคนนั้น “รีบกินข้าว กินเสร็จก็ไปช่วยแม่นมจ้าวที่เรือนด้านหน้านั่น”
เฟิ่งจือเวยจ้องมองใบหน้าทรงเสน่ห์ของเฟิ่งฮูหยิน ก่อนจะค่อย ๆ ชักมือที่เท้าอยู่บนโต๊ะกลับ ขณะที่ถอนหายใจกำลังจะนั่งลง ด้านหลังก็มีคนผลักประตูดังปัง พาลมเย็นเสียดกระดูกให้พัดเข้ามา แล้วหย่อนก้นลงข้างๆ นาง หยิบหมั่นโถวที่เฟิ่งฮูหยินไม่ได้แตะมาโดยตลอดขึ้นมากัด พูดเสียงอู้อี้ไม่ชัด “หมั่นโถวอีกแล้ว!”
“ฮ่าวเอ๋อร์ รีบร้อนไปไย ระวังกัดโดนลิ้น” เฟิ่งฮูหยินรีบเอื้อมมือไปลูบผมอยากรักใคร่ “เย็นแล้วใช่หรือไม่ แม่นำไปอุ่นให้เจ้า”
เฟิ่งจือเวยหรุบตามองหมั่นโถวแข็งเป็นหินในมือตน นำไปอุ่น? ช่างพูดอย่างง่ายดายนัก ที่ห้องครัวในตอนนี้ยุ่งจนชุลมุนขนาดนั้น จะมีใครพยายามอุ่นหมั่นโถวให้หรือ?
หมั่นโถวในมือนางเองก็แข็งเป็นเหล็ก ทำไมไม่บอกว่าจะเอาไปอุ่นบ้างเล่า?
“เย็นขนาดนี้จะกินได้อย่างไร?” เฟิ่งฮ่าวกัดไปหนึ่งคำ สะบัดมือเพียงครั้งเดียวก็โยนหมั่นโถวออกไป หมั่นโถวแข็งกระด้างกระทบพื้นจนเกิดเสียงดัง “ไม่กินแล้ว!”
เฟิ่งจือเวยจ้องหมั่นโถวลูกนั้น นี่คืออาหารเช้าของวันนี้ หมั่นโถวสองลูกแบ่งกันสามคน ท่านแม่ไม่แม้แต่จะแตะ ดื่มเพียงน้ำแกงผักค้างคืน ตอนนี้ หมั่นโถวล้ำค่าลูกนั้นกลับถูกมือที่ไม่เอาไหนของน้องชายขว้างออกไป เปรอะฝุ่นเต็มไปหมด
นางค่อยๆ หันหน้ากลับมา จ้องเฟิ่งฮ่าว
“เก็บขึ้นมา”
เฟิ่งจือเวยมีน้ำเสียงอ่อนโยนมาแต่ไหนแต่ไร ดวงตาก็เหมือนจะมีรอยยิ้ม สายตาของนางหวานหยาดเยิ้มเหมือนมีม่านหมอกมาตั้งแต่เกิด ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ดูไม่น่าเกรงขาม ความดุดันที่เฟิ่งฮูหยินเพิ่งแสดงให้เห็นเมื่อสักครู่นี้ หาไม่พบบนตัวนางเลย
แต่เฟิ่งฮ่าวกลับตัวลีบเล็กลง ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ทุกครั้งที่พี่สาวพูดกับเขาพร้อมรอยยิ้มแบบนี้ เขาจะรู้สึกใจฝ่อโดยไม่มีเหตุผล นัยน์ตาหวานฉ่ำสุกใสคู่นั้น คล้ายมีบางอย่างที่คนธรรมดามองไม่เห็น บีบรัดรอบหัวใจเขาจนรู้สึกอึกอัด
แต่เนื่องจากความรักและการตามใจของผู้เป็นแม่ทำให้เขาไม่กลัวเพราะมีคนคอยให้ท้าย เขาถอยหลังหนึ่งก้าว หนีจากรัศมีโดยรอบของเฟิ่งจือเวยแล้วจึงเชิดหน้าขึ้น ส่งเสียงเฮอะขึ้นจมูกอย่างไม่ใส่ใจ
เฟิ่งจือเวยมองเขา แววตานั่นยังคงยิ้มเหมือนเดิม นั่งลงทั้งๆ ที่ยิ้มอยู่อย่างนั้น กัดหมั่นโถวของนางต่อไป พูดเบาๆ ว่า “ไม่เก็บใช่ไหม ได้...เจ้าโตแล้ว มีความคิดเป็นของตัวเอง พรุ่งนี้ข้าจะไปขอร้องท่านฮูหยิน ให้เจ้าไปเรียนหนังสือพร้อมคุณชายสาม เจ้าฉลาดขนาดนี้ ไม่แน่ว่าความรุ่งโรจน์และชื่อเสียงของตระกูลเฟิ่ง อาจต้องฝากไว้ที่เจ้า”
“อย่านะ!” สีหน้าเฟิ่งฮ่าวเปลี่ยนไปอย่างใหญ่หลวง จ้องมองนางเขม็ง “เจ้ายังเป็นพี่สาวของข้าหรือเปล่า ส่งข้าไปลงนรกทั้งเป็นหรือ? นางอสรพิษนี่ ตัวเองมีชีวิตได้อีกไม่นาน ยังจะลากข้า...”
“ฮ่าวเอ๋อร์!”
เฟิ่งฮ่าวถูกเสียงตวาดนั่นทำให้สะดุ้ง ต้องหยุดปากอย่างไม่เต็มใจ เฟิ่งฮูหยินมองตรงไปที่เขา แล้วก็มองไปทางเฟิ่งจือเวย รอยยิ้มในแววตาของเฟิ่งจือเวยค่อยจางลง แต่มุมปากกลับโค้งขึ้นเล็กน้อย
“ก็แค่หมั่นโถวลูกเดียวไม่ใช่หรอกหรือ?” เฟิ่งฮูหยินยิ้ม รีบเดินไปเก็บหมั่นโถวที่อยู่มุมกำแพงมาเป่าแล้วเป่าอีกอย่างระมัดระวัง กุมไว้ในมือ “ข้าจะไปให้ทางห้องครัวอุ่นเสียหน่อย”
เฟิ่งจือเวยหลุบตาลง มองหมั่นโถวในมือมารดา มองมือที่เคยเปล่งปลั่งนุ่มนิ่มแต่มาวันนี้กลับแห้งแตกหยาบกระด้าง แล้วมองผมตรงขมับที่หลุดลุ่ยลงมาของมารดา ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อใดที่จอนผมดำขลับเปลี่ยนเป็นหงอกขาว ริ้วรอยสีขาวเทานั้นเสียดแทงนัยน์ตานางยิ่ง
นับสิบปีที่เวลาเปลี่ยนผัน เมื่อหันกลับมามองอีกครั้งใบหน้างดงามก็เปลี่ยนไป ยอดสตรีแห่งยุคที่งามสง่าเปี่ยมเสน่ห์ในวันก่อน แม่ทัพหญิงผู้มีนิสัยวู่วามดั่งเปลวเพลิงในคำกล่าวขาน ถูกทำลายไปท่ามกลางซากกระดาษเก่าเนิ่นนานแล้ว เหลือเพียงเงาร่างอันงดงามที่มองกลับมาอย่างเดียวดายจากสถานที่อันไกลโพ้นในตำนาน
นางไม่รู้ด้วยซ้ำว่าประสบการณ์แบบไหนกัน ถึงได้ขัดเกลาชีวิตที่แพรวพรายไปด้วยสีสันส่องประกายเจิดจ้าไปรอบด้าน ให้กลายเป็นชีวิตที่ต้องอดทนอดกลั้นและเต็มไปด้วยความทุกข์ทนหม่นหมองอย่างในตอนนี้
“ข้าไปก็แล้วกัน” เฟิ่งจือเวยถอนหายใจอยู่ชั่วขณะ ก่อนจะรับหมั่นโถวในมือเฟิ่งฮูหยินมา พวกคนในครัวเหล่านั้นเหยียบหัวผุ้ที่อยู่ต่ำกว่าประจบผู้ที่อยู่สูงกว่า เห็นแก่ผลประโยชน์อย่างที่สุด นางไม่อยากเห็นท่านแม่ต้องทำเสียงอ่อนขอร้องใครแล้วก็ถูกเชือดเฉือนด้วยคำพูดอีก
ขณะที่ก้าวข้ามธรณีประตู เฟิ่งฮ่าวก็สั่งเสียงดังอย่างได้ใจไล่หลังมา “ถ้าเห็นว่ามีอะไรอร่อย เอากลับมาด้วย!”
ฝีเท้าของเฟิ่งจือเวยชะงักค้างอยู่บนธรณีครู่หนึ่ง ก่อนจะไปโดยไม่หันกลับมา ได้ยินเสียงทางด้านหลังเลือนราง คล้ายว่าท่านแม่คว้าเฟิ่งฮ่าวมากอดปลอบเสียงอ่อนเบา
เฟิ่งจือเวยไม่แสดงความรู้สึกอันใด ในฐานะบุตรสาวบุญธรรม นางไม่ควรแสดงอาการไม่พอใจใด ๆ
ที่บุตรชายของบ้านได้รับความรักความเอ็นดู
แม้ว่ามีเพียงนางเท่านั้นที่รู้ว่าเฟิ่งฮ่าวก็เป็นบุตรบุญธรรมเหมือนกัน แต่อย่างไรเสียก็เป็นผู้ชาย เป็นทายาทที่สามารถสืบทอดตระกูลเฟิ่งต่อไปได้
พูดกันตามตรง เฟิ่งฮูหยินสามารถพานางที่เป็นตัวภาระไปด้วยตลอดได้แม้ในช่วงเวลาที่ลำบากที่สุด แล้วยังไม่เคยบอกใครว่านางไม่ใช่บุตรสาวแท้ๆ ทำให้เฟิ่งจือเวยสามารถอยู่ในจวนตระกูลชิวที่เห็นแก่ผลประโยชน์เพียงอย่างเดียวต่อไปได้ นี่ก็มากพอจะทำให้นางสำนึกบุญคุณแล้ว
ส่วนความรักใคร่สนิทสนมและความอบอุ่นเหล่านั้น...ช่างเถอะ ก็ใช่ว่าจะสามารถกุมชะตาชีวิตทั้งหมดไว้ในมือตนเองได้ ยังจะคาดหวังสิ่งอื่นใดมากมายเล่า?
ห้องครัวในเวลานี้กำลังชุลมุนวุ่นวาย ยุ่งอยู่กับการเตรียมของว่างแปลกใหม่ประณีตที่สุดให้องค์หญิงช่างเลือกกิน องค์หยิงสาวหนิงเป็นพระธิดาที่ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันทรงรักใคร่มากที่สุด กล่าวกันว่าในตอนแรกเริ่มสถาปนาราชวงศ์ ท่ามกลางความวุ่นวายของสงคราม องค์หญิงที่ยังเป็นทารกอยู่ในห่อผ้า เคยพลัดหลงจากฝ่าบาท ต้องสิ้นเปลืองกำลังอยู่ไม่น้อยถึงหาพบ วันที่พาองค์หญิงกลับมา ท้องฟ้าแสดงนิมิตเป็นมงคล หลังจากนั้นไม่นานก็บุกยึดเมืองหลวงได้ สถาปนาราชวงศ์เทียนเซิ่ง ดังนั้นฝ่าบาทจึงเห็นพระธิดาองค์นี้เป็นดาวนำโชคมาโดยตลอด รักใคร่เอ็นดูกว่าธรรมดา
เฟิ่งจือเวยเข้าห้องครัวทางประตูข้างเงียบๆ ใบหน้านางยังเป็นสีเหลืองเหมือนเคย หางคิ้วถูกวาดให้ตกลง เพียงเปลี่ยนสองจุดนี้ ภาพลักษณ์ของคนทั้งคนก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ ทำให้คนเพียงมองก็หมดอารมณ์แล้ว
หม้อนึ่งที่ถูกทำเพื่อห้องครัวโดยเฉพาะ ควันร้อนฟุ้งกระจายจนมองไม่เห็นหน้าคน ในอากาศอบอวลด้วยกลิ่นหอมหวานแปลกใหม่ ไม่รู้ว่ากำลังทำของว่างใหม่อะไรขึ้นอีก เฟิ่งจือเวยไม่อยากทำให้ใครแตกตื่น นางแอบๆ หาเตาที่ว่างอยู่ เทน้ำใส่หม้อ เตรียมนำหมั่นโถวมาอุ่นให้ร้อนอีกครั้ง
บนถาดไม้มีอาหารน่ากินอยู่มากมายหลายหลาก แต่เฟิ่งจือเวยกลับไม่มองสักนิด เฟิ่งฮ่าวต้องการให้นางเอาของอร่อยกลับไปนั่นเป็นเพราะเขาไม่รู้ความ ด้วยสถานะที่กระอักกระอ่วนในจวนตระกูลชิวของสามแม่ลูก ขอแค่ผู้อื่นไม่ทำให้ลำบากก็นับว่าดีแล้ว ไหนเลยจะมาเรื่องมากได้อย่างไร
เพียงแต่กลิ่นหอมหวนนั่น ทำให้ผู้คนทนไม่ไหวจริงๆ...เฟิ่งจือเวยลูบท้อง รู้สึกหิวยิ่งกว่าเดิม
นางรอน้ำเดือดอย่างตั้งใจ ไม่ได้ใส่ใจว่าหน้าประตูห้องครัวมีคนแอบย่องเข้ามา ยิ่งไม่ได้สนใจแม่ครัวสองสามคนที่ดูเหมือนจะตั้งใจทำงานอยู่ แต่สายตากลับลอบมองทางนี้เป็นระยะๆ
น้ำในหม้อส่งเสียงเดือดปุดๆ พร้อมไอร้อน เฟิ่งจือเวยไม่กล้ารอนาน น้ำเดือดได้สักพักก็เปิดหม้อออก ต้องการจะให้หมั่นโถวร้อนเพียงแค่ครึ่งหนึ่งก็ใช้ได้แล้ว มือนางเพิ่งแตะเปลือกหมั่นโถว ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงดังก้อง
เคร้ง!
ขณะเดียวกันนั้นเองเสียงกรีดร้องของแม่ครัวก็ดังขึ้นตามมาติด ๆ มาเหมือนกำลังรออยู่แล้ว
“มีขโมย! เครื่องเสวยที่จะถวายถูกขโมยไปแล้ว!”
เฟิ่งจือเวยตกใจ รีบหดมือ ลุกพรวดขึ้น หยิบหมั่นโถวใส่ไว้ในอกโดยไม่สนใจความร้อน หมุนตัวพุ่งไปทางหน้าต่างด้านหลัง อีกเพียงสองก้าวก็จะถึงหน้าต่างด้านหลังซึ่งเตี้ยมาก แค่พลิกตัวออกไปก็เป็นสวนหย่อม ขอเพียงพลิกตัวออกไปได้นางก็มีทางรอดแล้ว ไม่ว่าอย่างไร นางมาโผล่อยู่ที่นี่ในตอนนี้ ถ้าถูกจับได้ก็ยากจะพ้นจากการถูกใส่ความ
ทว่า...นางช้าไปหนึ่งก้าว
ไม่ใช่การตอบสนองของนางไม่เร็ว แต่ตอนที่นางเริ่มพุ่งตัวออกไปก็เห็นใครบางคนพุ่งตัวไปทางนั้นก่อนหนึ่งก้าว เกาะขอบหน้าต่างพลิกตัวออกไป คงเป็นเพราะรีบร้อนเกินไป ข้อเท้าคนผู้นั้นเลยพลิกทันทีที่แตะพื้น ได้ยินเสียงร้อง “โอ้ย” ด้วยความเจ็บปวดเบาๆ
เสียงที่คุ้นเคย
เฟิ่งจือเวยหยุดเท้า
นางยืนอยู่ด้านหน้าหน้าต่าง เหลือบตาลงมอง ชั่วขณะนั้นสีหน้าของนางมีทั้งเดือดดาล อับจนปัญญา กังวล เจ็บแค้นใจ สับสนปะปนกันไปหมด
จากนั้นนางทอดถอนใจ แล้วหันตัวกลับ วางหมั่นโถวกลับลงไปในหม้ออย่างเงียบ ๆ ด้วยความรวดเร็ว
ตอนนี้จะให้ปีนออกนอกหน้าต่างคงไม่ได้แล้ว เสียงสูดหายใจด้วยความเจ็บนอกหน้าต่างบอกนางว่าคนขโมยกินเดินไม่ไหวแล้ว หากนางปีนออกไปก็จะถูกจับได้ ถึงตอนนั้นยิ่งอธิบายไม่ได้ไปกันใหญ่
ห้องครัวในตอนนี้เกิดเสียงอึกทึกเซ็งแซ่ขึ้น พ่อบ้านและคนครัวจากด้านนอกล้วนวิ่งตามกันเข้ามา
“เจ้านั่นเอง...” สตรีวัยกลางคนมองเฟิ่งจือเวยซึ่งยืนหันหลังให้หน้าต่างตั้งแต่แรกกล่าวด้วยน้ำเสียงประหลาดใจระคนโมโห แต่สายตากลับฉายแววแอบยินดีอย่างสาสมใจ
เฟิ่งจือเวยลอบร้องแย่แล้วในใจ นี่คืออันต้าเหนียงผู้ดูแลห้องครัว เป็นหม้ายสามีตายเมื่อนานมาแล้ว หวังจะได้นอนเตียงเดียวกับพ่อบ้านหลิวแห่งเรือนหน้าที่พอจะมีอำนาจอยู่บ้างมาโดยตลอด หากแต่พ่อบ้านหลิวกลับรังเกียจใบหน้าเหี่ยวยับย่นเหมือนเปลือกส้มของนางที่แม้แต่แป้งยังปิดไม่มิด กลับเอาแต่คิดจะนอนกับเฟิ่งจือเวยที่อายุยังน้อย ด้วยเหตุดังกล่าวสตรีกลางคนผู้นี้จึงเห็นนางขัดหูขวางตามาตั้งนานแล้ว
อันต้าเหนียงกวาดตามองบนถาดไม้อย่างรวดเร็ว แล้วสีหน้าของนางก็เปลี่ยนในทันใด พุ่งพรวดออกไป
“เจ้าถึงกับทำลายรังนกไหมทองที่จะถวายองค์หญิง!”
เนื่องจากบานหน้าต่างเปิดกว้าง เมื่อไอควันจากการทำครัวจางลงจึงปรากฏจานหยกใบหนึ่งที่มีครอบทำจากเงินสานครอบไว้บนถาดไม้ เพียงแต่ครอบเงินสานในตอนนี้หงายอยู่ด้านข้าง จานหยกเอียงออกมาครึ่งหนึ่ง น้ำนมที่จับตัวเป็นลิ่มหนืดในจานไหลนองเต็มโต๊ะ ด้านข้างจานหยกยังหลงเหลือรอยนิ้วมือสีดำสองสามรอย มองดูสกปรกเหลือเกิน
กลิ่นหอมหวานในอากาศยิ่งเข้มข้นขึ้น เฟิ่งจือเวยสูดหายใจเบา ๆ หนักใจขึ้นเล็กน้อย แม้ไม่รู้ว่านี่คืออะไร แต่ชัดเจนมากว่าต้องเป้นของสูงค่าและหายาก
“นี่จะชดใช้อย่างไร? จะชดใช้อย่างไร?” เดิมทีอันต้าเหนียงเพียงต้องการให้เฟิ่งจือเวยอับอาย ตอนที่เห็นคนเข้ามาจึงทำไม่มีทีท่าอะไร นึกไม่ถึงว่าจะแตะต้องเครื่องเสวยสำหรับถวายองค์หญิงสาวหนิง นางจ้องเฟิ่งจือเวยอย่างเคียดแค้น หากบอกว่าตอนแรกนางแค่จะฉวยโอกาสแสดงอำนาจ ตอนนี้ก็นางก็เกลียดเข้ากระดูกแล้วจริงๆ
ใต้หน้าต่างมีความเคลื่อนไหวที่ผิดปกติ เหมือนอะไรบางอย่างครูดเข้ากับกำแพงโดยไม่ระวัง แต่ก็ถูกเสียงหอบหายใจแรงของอันต้าเหนียงกลบไป เฟิ่งจือเวยหน้านิ่ว จิกนิ้วตัวเองเบาๆ
“คุณหนูเฟิ่งเอย...” อันต้าเหนียงลากหางเสียงจนดูน่ากลัว สีหน้าเขียวคล้ำ “รังนกไหมทองนี่คุณชายรองหาซื้อมาจากเมืองต้าเยวี่ยอย่างยากลำบากด้วยราคาสูงลิ่ว หนึ่งชั่งพันตำลึงทอง แล้วใช่ตำรับลับเก้าวันนึ่งเก้าวันตาก ปรุงด้วยวัตถุดิบชั้นเลิศอย่างหญ้าหอมม่วงจากภูเขาหิมะสิบกว่าชนิด ตลอดกระบวนการยังใช้เพียงถ่านหินราคาแพงลิบเท่านั้นมาเป็นถ่าน...เพียงทำจานนี้ ไม่ต้องกล่าวถึงว่าเสียเงินไปเท่าไร ลงแรงไปเท่าไร นี่ล้วนแต่เป็นของล้ำค่าหายากที่มีเพียงหนึ่งเดียว พรุ่งนี้ตอนองค์หญิงเรียกอาหารขึ้นโต๊ะ เจ้าจะให้พวกเราเอาอะไรไปถวาย”
เพียงได้ยินชื่อวัตถุดิบที่แสดงถึงความสูงส่งมูลค่ามหาศาล เฟิ่งจือเวยก็หงุดหงิดในใจ สูดลมหายใจลึก ๆ กล่าวว่า “ข้าเพียงแค่มาอุ่นหมั่นโถวหน่อยเดียว ไม่ได้แตะสิ่งนั้นเลย”
“เช่นนั้นเป็นใครกัน?” อันต้าเหนียงยิ้มเย็น สายตาคาดคั้นคุกคาม
เฟิ่งจือเวยจิกนิ้วอีกรอบ แต่กระนั้นก็ยังพูดด้วยความสงบ “ในครัวของเจ้ามีคนตั้งมากมาย เมื่อครู่เบียดเสียดกันเข้ามารวดเร็วปานนั้น ใครแตะต้องก็ล้วนเป็นไปได้...”
เพี๊ยะ!
เสียงจากฝ่ามือกระทบผิวเนื้อโดยตรงดังจนน่าตกใจจนทำให้ทุกคนคิ้วกระตุกไปหมด
เฟิ่งจือเวยรู้สึกเพียงในหัวมีเสียงอื้อ จากนั้นก็ชาที่หน้า ความชายังไม่ทันจะหาย ความเจ็บแสบก็แทรกตัวเข้ามา ในปากมีรสหวานของคาวเลือด แม้แต่เหงือกก็กระตุกจนเจ็บขึ้นมา
เป็นหนึ่งฝ่ามือที่รุนแรงยิ่ง!
มือที่ง้างอยู่ของอันต้าเหนียงชะงักค้าง คล้ายกับไม่อยากเชื่อว่าตนเองลงมือไปแล้ว
เดิมทีนางเองก็ไม่คิดจะทำเกินเลยไป นอกจากนั้นเฟิ่งจือเวยก็ได้ชื่อว่าเป็นเจ้านายคนหนึ่ง ภายใต้ราชวงศ์เทียนเซิ่งที่เคร่งครัดเรื่องระดับชนชั้น ชนชั้นล่างล่วงเกินชนชั้นสูงถือเป็นการไม่เคารพอย่างรุนแรง แต่ทว่าเรื่องในวันนี้ก็ไม่เหมือนยามปกติทั่วไป เพราะเรื่องของถวายในวันพรุ่งนี้ทำให้นางรุ่มร้อนราวกับโดนไฟเผาอยู่แล้ว ภายใต้อารมณ์โมโห ซ้ำยังเห็นแม่เด็กสาวนี่ดูไม่อนาทรร้อนใจเช่นนี้ ทำให้อันต้าเหนียง เลือดร้อนพลุ่งพล่าน สมองตื้อตัน รอจนรู้ตัวอีกที ใบหน้าของเฟิ่งจือเวยก็มีรอยนิ้วมือทั้งห้าประดับอยู่แล้ว
ความเงียบเข้าปกคลุม
ครู่หนึ่ง รอยเลือดเล็ก ๆ สายหนึ่งก็ค่อย ๆ ไหลเป็นทางลงมาจากมุมปากของเฟิ่งจือเวย ดูงดงามแสนเศร้าดุจบุปผาที่ถูกทำลาย สีหน้าของคนทั้งหลายเปลี่ยนไปหมด
เฟิ่งจือเวยยกมือขึ้น กดนิ้วเบาๆ ที่มุมปาก พินิจมองรอยเลือดที่ปลายนิ้ว จากนั้นก็...ยิ้ม
ผมของนางหลุดลุ่ยเพราะถูกตบ รอยยิ้มนั้นปรากฏให้เห็นรางๆ ท่ามกลางกลุ่มผมสีดำ ควันที่ยังไม่จางหายไปรอบด้านกับแสงเงารำไรเช่นในมุมนี้ ดูแล้วช่างนุ่มนวลแต่ก็ลึกลับน่ากลัว ทำให้อันต้าเหนียงที่จ้องนางอยู่ตลอดสั่นสะท้านอย่างหนาวเหน็บ
ตอนนี้เองที่นางเพิ่งนึกขึ้นได้ ว่าอย่างไรเสียเฟิ่งจือเวยก็ยังมีศักดิ์ฐานะเป็นคุณหนู มารดาคนนั้นของนาง ก็เคยเป็นเจ้านายผู้หนึ่งในจวนนี้ ว่ากันว่านิสัยก็ดุร้ายชอบใช้กำลัง...
ทว่าหลังจากนั้น อันต้าเหนียงก็รีบรวบรวมความกล้ากลับคืนมา ตบแล้วก็คือตบแล้ว นางจะทำอะไรได้? ว่ากันตามตรง เมื่อก่อนเป็นเพราะนางเฉลียวฉลาด ไม่มีที่ให้คนจับผิด คิดอยากจะสั่งสอนนางก็ไม่มีโอกาส ในเมื่อวันนี้โอกาสมาถึงที่ซ้ำยังมีเหตุผล หากไม่ตบก็จะเสียโอกาสไปเปล่า ๆ หรือว่านางจะหนีโทษร้ายแรงของข้อหา “ขโมยเครื่องเสวย” ไปได้หรืออย่างไรกัน? อีกอย่าง ไม่ว่าอย่างไรตนเองก็เป็นถึงสาวใช้ต้นห้องของท่านฮูหยิน มีหน้ามีตาอยู่ในจวนนี้ แค่สั่งสอนลูกสาวที่ไม่รู้ที่มาที่ไปของของหญิงต่ำช้านางหนึ่ง จะกลัวอะไร !
ความคิดเช่นนี้แวบเข้ามาในหัว อันต้าเหนียงพลันถือคติหากจะทำต้องทำให้ถึงที่สุด นางชี้เฟิ่งจือเวย ตวาดเสียงดัง “จับนังผู้หญิงใจกล้าที่บังอาจขโมยของถวายนี่ไว้ ! ส่งไปให้ท่านฮูหยินลงโทษ!”