สวรรค์ลิขิตรัก ตอนที่ 3
มึนเมากับรสจูบ
ภพเซียนแบ่งออกเป็นสามภูมิ คือ ภูมิฟ้าชั้นเก้า อภิภูมิสวรรค์และมัชฌิมภูมิสวรรค์ แต่ละภูมิแบ่งออกเป็น 3 ชั้นย่อย รวมสามภูมิ เป็นเก้าชั้น
ราชสำนักเซียนทั้งสี่ดินแดนจะอยู่บนภูมิฟ้าชั้นเก้า ในเก้าชั้นย่อยนี้ ยิ่งอยู่ชั้นสูงมากเท่าไหร่ พลังปราณเทพก็จะยิ่งหนาแน่นมากขึ้นเท่านั้น ทำให้เป็นที่ชื่นชอบของเหล่าผู้บำเพ็ญตบะเซียนทั้งหลาย ชั้นที่อยู่ต่ำลงไปจนถึงส่วนของสวรรค์มัชฌิมภูมิกลับทุรกันดารและแห้งแล้ง ยากนักที่จะพบผู้คน
แดนร้างตงฮวงอยู่เป็นเขตในความปกครองของสวรรค์แดนอุดร มีอาณาเขตติดกับดินแดนขอบสมุทรทักษิณ เป็นที่เดียวที่อยู่ในชั้นต่ำสุดของสวรรค์มัชฌิมภูมิของแดนอุดร ซ้ำยังเป็นเขตที่กันดารเปลี่ยวร้างที่สุด ผู้บำเพ็ญเซียนที่พอจะมีช่องทางอยู่บ้างก็จะหาทางออกจากที่นี่ไปหาที่บำเพ็ญตบะที่อื่น นานวันเข้าแดนร้างตงฮวงก็กลายเป็นสถานที่ร้างผู้คน คนในแดนอุดรที่ทำผิดกฎจะถูกเนรเทศมาอยู่ที่นี่ ปล่อยให้ดำรงชีวิตไปตามยถากรรมจนกว่าจะแตกดับ
เมฆที่บรรทุกถังเหมี่ยวอยู่ตรงดิ่งไปทางแดนร้างตงฮวง
ถังเหมี่ยวตื่นขึ้นมาช่างเป็นเวลาที่ไม่เหมาะที่สุด ตอนเธอลืมตาขึ้น ก็พบฟ้าสีครามสดใส ตัวเธอนอนคว่ำพาดอยู่บนเมฆ ลมเบา ๆ โชยพัดหมอกเมฆเย็น ๆ ผ่านหน้าไป ช่างเย็นสบายยิ่งนัก
เพราะเธอไม่ได้สังเกตสิ่งรอบข้าง ถังเหมี่ยวจึงไม่รู้ตัวเลยว่าเธอนั้นกำลังอยู่บนเมฆที่แล่นฉิวไปในอากาศ เธอจ้องมองท้องฟ้าสีครามใสดุจแก้ว ท่าทางยังตื่นไม่เต็มตา ทันใดนั้นเมฆด้านหน้าก็เบาบางลง ทิวทัศน์เบื้องล่างพลันปรากฏสู่สายตาเธอ
พื้นดินที่อยู่ต่ำไปกว่าหมื่นจ้าง[1]เบื้องล่างดูเล็กจ้อยเหมือนโมเดลขนาดเล็ก แม่น้ำก็เล็กเหมือนเส้นด้าย ทะเลสาบเหมือนกระจกบานเล็กๆ ถังเหมี่ยวคิดอย่างสงสัย มีแต่นั่งเครื่องบินเท่านั้นถึงจะเห็นภาพมุมสูงแบบนี้ เธอตบตัวเองอย่างแรงไปฉาดหนึ่ง ความรู้สึกแสบร้อนขจัดความมึนทำให้เธอตื่นเต็มตา เธอกระโดดขึ้น ตะโกนว่า "แม่เจ้า…ฉันยังอยู่บนท้องฟ้า!"
เท้าเหยียบบนกลุ่มหมอกขาว ๆ ที่ดูมีพลังพอที่จะบรรทุกเธอได้ ถังเหมี่ยวรีบทรุดตัวลงนั่งยอง ๆ หลับตาปี๋ จิตใต้สำนึกเริ่มหลอกตัวเองว่าเธอยังอยู่”ติดดิน” จากนั้นเธอจึงกวาดมือออกไปคลำใต้เท้า
เมฆก้อนนั้นก็ไม่ใช่สิ่งที่จับต้องได้ ไอน้ำไหลลอดผ่านช่องว่างระหว่างนิ้วทั้งสิบของเธอ เธอควานไปควานมาก็จับได้แต่ความว่างเปล่า ถังเหมี่ยวชักแตกตื่นเลยใช้สองมือคลำกว้างออกไป ท้ายที่สุดก็กลายเป็นท่าวักน้ำอย่างสุดชีวิต มองแต่ไกล ๆ เธอเลยดูเหมือนกับเป็ดกำลังนั่งยอง ๆ อยู่บนก้อนเมฆ
แขนทั้งสองข้างของเธอกวาดจนเมื่อย แต่ก็ยังไม่อาจสัมผัสอะไรที่เป็นของจริง ๆ ได้สักอย่าง
ผลการเรียนวิชาชีวะของถังเหมี่ยวก็ธรรมดา แต่เธอก็รู้ว่าเมฆเกิดจากธรรมชาติไม่ว่าอย่างไรก็เป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้แน่นอน หรือพูดได้ว่า ตอนนี้ที่เธอเหยียบอยู่จริง ๆ ก็คือกลุ่ม....อากาศ
ในบรรดาหมู่ผู้หญิง ถังเหมี่ยวนับได้ว่าเป็นคนใจกล้าเลยทีเดียว ผู้หญิงคนอื่นกลัวงู กลัวหนู เธอไม่กลัว ผู้หญิงคนอื่นกลัวเดินถนนยามวิกาล กลัวผี เธอก็ไม่กลัว แต่หากเป็นคนธรรมดาแล้ว แม้แต่โดดบันจี้จั้มพ์ก็ยังมีเชือกผูกเท้าไว้ไม่ใช่หรือ? หรือถ้าโดดร่ม หลังก็ยังมีร่มชูชีพอยู่ไม่ใช่หรือ? คนธรรมดาที่ไหนจะลอยอยู่บนฟ้าสูงหมื่นลี้อย่างสบายใจไม่กลัวความสูงกันล่ะ แถมยังเป็นแค่ผู้หญิงอีก
ถังเหมี่ยวเป็นโรคกลัวความสูง ขึ้นสะพานแขวนสูงสองชั้นเธอยังแข้งขาอ่อน เหงื่อออกเต็มฝ่ามือฝ่าเท้า ตอนนี้พลันพบว่าตัวเองกำลังเหยียบอยู่บนอากาศ ตัวลอยอยู่บนฟ้าสูงเป็นหมื่นเมตร เธอก็ตกใจเสียจนทำอะไรไม่ถูก
ความกลัวที่สูงอย่างรุนแรงแล่นปราดเข้ามาในสมองของถังเหมี่ยว หัวใจของเธอเต้นกระหน่ำตุบ ๆอย่างรุนแรง ทุกจังหวะการเต้น เธอรู้สึกได้ถึงเลือดที่สูบฉีดขึ้นสมอง
ถังเหมี่ยวผู้กล้าหาญตัดสินใจจะตรวจดูอีกครั้งว่าสายตาของตนมีปัญหาหรือเปล่า เธอลืมตาขึ้นอย่างกล้าๆ กลัวๆ มองไปแวบเดียว ทันใดนั้น สีเลือดบนใบหน้าก็หายไปหมด หน้าซีดและสลบไปในที่สุด
เมฆที่เสกขึ้นจากตำหนักชักนำเซียนพยายามทำหน้าที่อย่างถึงที่สุดในการพาถังเหมี่ยวร่อนลงยังยอดเขาในแดนร้างตงฮวง ก่อนจะสลายไปอย่างเงียบเชียบ
ตอนที่ถังเหมี่ยวตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ก็เห็นท้องฟ้าที่สดใสปลอดโปร่ง ใจของเธอเต้นกระหน่ำอีกครั้งเพราะกลัวว่าจะเห็นตัวเองยังลอยอยู่บนท้องฟ้า
ครั้งนี้นับว่าเธอโชคดีขึ้นหน่อย มือของเธอคลำถูกพื้นดินที่แสนน่ารัก ถังเหมี่ยวครางในลำคอ เอามือตบหัวตัวเองซ้ำ ๆ เมื่อกี้มันเกิดอะไรขึ้น? ตาลายหรือ? ฝันไปหรือเปล่า? แล้วเธอก็สรุปอย่างง่ายดายว่าประสบการณ์เหนือท้องฟ้านั่นเป็นเพียงแค่ฝันไป
เธอนอนอยู่ในหุบเขาที่ใหญ่มากแห่งหนึ่ง รายล้อมด้วยหินรูปทรงประหลาดนูน ๆ เว้า ๆ บนเขาไม่มีต้นไม้อยู่เลย พอจะมีหญ้าสีเขียวแซมอยู่บนดินที่แทรกระหว่างรอยแตกของหินบ้าง มีไม้หนามสีน้ำตาลขึ้นอยู่ไม่มากตรงที่ราบใจกลางหุบเขา เมื่อมองขึ้นไปจะพบว่าหุบเขานี้สูงมากจนไม่อาจมองเห็นยอด พอมองไปรอบๆ ก็พบก้อนหินมากมายคอยบดบังทัศนวิสัย
ในที่สุดความคิดของถังเหมี่ยวก็กลับสู่ภาวะปกติ เธอคิดออกแล้วว่าก่อนหน้านี้เธอตกมาจากยอดเขาจินติ่งบนภูเขาเอ๋อเหมย
เมื่อจำเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นได้ ถังเหมี่ยวก็หลับตาลง พึมพำซ้ำๆว่า "นะโม อมิตตาพุทธ คุณพระคุ้มครอง คุณพระคุ้มครอง"
ตกลงมาจากยอดจินติ่งที่สูงกว่าสามพันกว่าเมตร ผิวไม่มีแม้แต่รอยถลอก แขนขาก็ยังอยู่ครบดี ผู้ที่ถังเหมี่ยวควรขอบคุณก็คงมีแต่พระโพธิสัตว์แล้ว เธอคิดอย่างงมงายว่า ต้องเป็นความศักดิ์สิทธิ์ของแสงฉัพพรรณรังสีที่ยากจะได้เห็นง่ายๆ บนเขาเอ๋อเหมยแน่ ๆ ที่คุ้มครองเธอ
“จะสนใจทำไม เจอขนาดนี้แล้วยังไม่ตาย ต่อไปต้องมีโชคแน่ๆ!” ถังเหมี่ยวกำหมัดลุกขึ้นมาอย่างมีกำลังใจ เธอเอามือป้องปากแล้วตะโกนเสียงดังว่า “มีใครอยู่ไหม? ช่วยฉันด้วย!" เสียงของเธอดังออกไปไกล ทั้งยังสามารถได้ยินเสียงสะท้อนกลับมา
เธอคิดอย่างใจเย็นว่าเธอน่าจะตกลงมาบริเวณใต้ผาสละชีพในเขตหุบเหวลึกที่ไร้คน เลยตัดสินใจอย่างมีเหตุผลว่าควรช่วยตัวเองก่อน ค่อยรอคนอื่นมาช่วย
...............................................
แสงแดดร้อนแรงที่แผดเผาบนหินผา ทำให้ถังเหมี่ยวร้อนเสียจนต้องถอดเสื้อกันหนาวบุขนเป็ดที่เช่ามาจากจินติ่งออก เผยให้เห็นเสื้อแขนสั้นและกางเกงขาสั้น เธอสำรวจสิ่งที่ติดตัวมา ล้วงกระเป๋าทุกที่ ก็พบลูกอมรสมิ้นท์กระปุกหนึ่ง และเงินห้าร้อยกว่าหยวน เป้สะพายหลังของเธอไม่รู้หล่นหายไปไหนหลังเธอตกเหว
ถังเหมี่ยวหวังจริงๆว่าจะเจอไฟแช็คสักอันมาก่อไฟ ป้องกันสัตว์ป่าตอนกลางคืน ทั้งยังช่วยให้หน่วยกู้ภัยหาเธอพบได้เร็วขึ้น แต่ทว่ากลับไม่มี เทคนิคการเอาตัวรอดอย่างใช้กิ่งไม้จุดไฟเธอก็ไม่มีความอดทนได้ขนาดนั้น
หากยืนอยู่บนยอดเขา อัตราค้นพบก็จะยิ่งสูง ถังเหมี่ยวพิเคราะห์แล้วจึงตัดสินใจเดินขึ้นยอดเขา
ถังเหมี่ยวรู้สึกว่า แสงแดดจากพระอาทิตย์ที่ส่องมา ทำให้อุณหภูมิของหินสามารถทอดไข่เจียวได้เลยทีเดียว เธอเอาเสื้อกันหนาวที่กอดอยู่มากางเป็นร่มบังศีรษะไว้ ทำให้คลายความรู้สึกแสบร้อนลงไปบ้าง
หลายชั่วโมงผ่านไป ในที่สุดเธอก็มาถึงยอดเขา
บนยอดเขากว้างมาก ประมาณสี่สนามฟุตบอลได้ บนเขาไม่มีหญ้าเลยสักต้น มีแต่ก้อนหินเขียวคล้ำก้อนใหญ่ ๆ จำนวนมากกองทับกันอยู่ นอกจากนี้ รอบ ๆ ก็ไม่มีอะไรมาบดบังสายตาอีกแล้ว
ถังเหมี่ยวจ้องมอง คางแทบจะหลุด "แม่เจ้า....นี่มันอวตาร[2]เหรอ?!..."
ในสายตาของเธอที่เห็นตอนนี้ มีภูเขากว่าสิบลูกล่องลอยอยู่ ภูเขาเป็นสีเทาทะมึนโล้น ๆ มองไม่เห็นสีเขียวแม้แต่น้อย คล้ายกับถ่านก้อนใหญ่ ลอยอยู่บนท้องฟ้าอย่างไร้วี่แววสิ่งมีชีวิต ด้านล่างของภูหินเป็นไอสีขาว มองไม่เห็นจุดสิ้นสุด บางขณะก็มีเมฆหมอกบางๆ ถูกลมพัดขึ้นมาจากภูเขาเบื้องล่าง
นี่มันที่ผีสางอะไรกันเนี่ย? ถังเหมี่ยวปากอ้าตาค้าง ทรุดนั่งกระแทกพื้นอย่างมึนชา
เธออยู่บนยอดเขานั่งตกตะลึงไปพักหนึ่ง จากนั้นจึงคลานบ้างกลิ้งบ้างลงไปจนถึงเชิงเขา ถึงขนาดปวดหัวตาลาย หายใจหอบแรง แต่พอเห็นทิวทัศน์เบื้องหน้าแล้ว มือก็คลายจากเสื้อกันหนาวอย่างไร้เรี่ยวแรง เสื้อกันหนาวที่ถือไว้คล้ายกับขนนกค่อยๆ ปลิวร่วงหล่นลงไป
ภูเขาลูกที่เธออยู่นี้ก็ลอยอยู่กลางอากาศเช่นกัน เพียงแต่ที่เชิงของภูเขาลูกที่เธออยู่นี้มีพื้นราบกว้างใหญ่เป็นหินสีเทาน้ำตาล เสื้อกันหนาวสีแดงสลับน้ำเงินเหลือขนาดเท่าเข็มเล็กๆ สุดท้ายก็หายไปจากสายตา เธอไม่เห็นแม้ร่องรอยของเสื้อกันหนาวที่ตกสู่พื้นดิน
อาทิตย์เจิดจ้าสาดแสงเสียจนเธอมึนหัว จิตใต้สำนึกสั่งให้เธอหมุนตัวนอนคว่ำกอดหน้าผาหินที่อยู่ด้านหลัง ไม่กล้าปล่อยมือด้วยความกลัวว่าตัวเองจะร่วงลงไป
หรือว่าเรื่องที่เธอลอยอยู่กลางอากาศจะไม่ใช่ความฝันนะ? ถังเหมี่ยวหมุนตัวกลับโดยอัตโนมัติ ใช้ทั้งมือและเท้าปีนป่ายขึ้นเขา หินร้อน ๆ กำลังลวกมือของเธออยู่ ทำให้ถังเหมี่ยวรู้สึกว่าตัวเองถูกย่างจนเกือบจะไหม้แล้ว
ไม่ง่ายเลยที่จะเดินกลับมาใต้ร่มเงาที่อยู่ตรงกลางหุบเขา ถังเหมียวแหงนมองฟ้าแล้วตะโกนว่า " ที่นี่มีใครอยู่ไหม? ใครก็ได้ ช่วยฉันที! "
เธอตะโกนจนแสบคอเสียงแหบก็ไม่มีเสียงตอบกลับมาเลย ต่อให้ถังเหมี่ยวใจกล้ามากกว่านี้ ก็กลัวจนเสียขวัญร้องไห้ออกมา ร้องได้สักพัก เธอก็เริ่มซึมเหม่อ จากนั้นจึงเอาลูกอมรสมิ้นท์ใส่ปากคิดอย่างขมขื่นว่า เธอคงไม่ต้องพึ่งเจ้าลูกอมนี่เพื่อเอาชีวิตรอดหรอกใช่ไหม?
เวลาผ่านไปทีละน้อยๆ พระอาทิตย์จมหายไปท่ามกลางแสงหลากสียามสายัณห์ หินผาถูกแสงสาดสะท้อนกลายเป็นสีน้ำตาลแดงเข้ม ดูลี้ลับและอ้างว้างกันดารยิ่ง
ท้องฟ้าค่อยๆมืดลง แล้วพระจันทร์ที่ทั้งกลมทั้งใหญ่ดวงหนึ่งโผล่ขึ้นมาจากหลังเทือกเขาในทันใด
ถังเหมียวจ้องมองอย่างตกตะลึงพูดอะไรไม่ออก พระจันทร์ที่ใหญ่ได้ขนาดนี้ เธอเคยเห็นก็แต่ในภาพยนตร์ในโทรทัศน์ที่ใช้เทคนิคการถ่ายทำเข้าช่วย หรือในแต่การ์ตูน หนำซ้ำยังดูใกล้เสียจนคล้ายกับเอื้อมมือออกไปก็จับได้
ความร้อนในตอนกลางวันถูกความเย็นของลมภูเขาพัดกระจายไป เงาจากก้อนหินก้อนใหญ่ที่ทอดลงบนพื้น มองไปเหมือนกับสัตว์ป่าดุร้ายตัวหนึ่ง
ถังเหมียวนั่งขดตัวอยู่บริเวณช่องที่เว้าเข้าไปของผาหิน สับสน ไม่รู้จะทำอะไรต่อไปดี เธอหดตัวตามสัญชาติญาณจนขดเป็นก้อน ชันเข่า แล้วเอาคางเกย มองไปเบื้องนอกอย่างเหม่อลอย นอกจากเสียงลมอันเย็นยะเยือก รอบกายก็เงียบสงัดจนน่ากลัว เธอโกหกตัวเองไม่ลง ไม่ต้องไปนึกถึงเขาเอ๋อเหมยซานเลย บนโลกนี้ไม่มีภูเขาที่ลอยอยู่กลางอากาศ...และก็ไม่มีพระจันทร์ที่แสนประหลาดเกินจินตนาการขนาดนี้
ถังเหมี่ยวหยิกตัวเองไม่รู้กี่ครั้งแล้ว ทุกครั้งก็เจ็บซะจนคิ้วขมวด เธอไม่ รู้ว่าตัวเองตกลงมาที่ไหน เพียงแต่มั่นใจได้ว่าไม่ได้ฝันไปเท่านั้น เธอยังมีชีวิตอยู่ ชีพจรของเธอก็ยังเต้นอยู่ แต่ตอนนี้แข้งขาไร้เรี่ยวแรง กระหายน้ำและหิวเท่านั้น
ความหนาวเย็นโหมพัดเข้ามา เธอรู้สึกเหมือนอยู่ท่ามกลางหิมะฤดูหนาวอย่างฉับพลัน หินที่ร้อนจนลวกมือเมื่อตอนกลางวันตอนนี้เย็นเฉียบเป็นก้อนน้ำแข็ง ถังเหมี่ยวหนาวเสียจนได้ยินเสียงฟันกระทบกันดังกึก ๆ เธอจึงยิ่งหดตัวจนเป็นก้อนกลมยิ่งขึ้น
แสงจันทร์ที่สาดส่องมากระทบภูผาหินที่แห้งแล้งช่างสวยเสียนี่กระไร หินสีเขียวหม่นก้อนใหญ่ ๆ ที่สะท้อนกับแสงจันทร์ ทำให้เกิดเป็นแสงสีเงินยวงลอยเด่นออกมา
ไม้พุ่มเตี้ย ๆ ยืนต้นอยู่อย่างสงบ แต่หญ้าสีเขียวต้นเรียวที่ขึ้นอยู่ระหว่างรอยแตกของหินกลับส่ายไหว ๆ กลางสายลม ถังเหมี่ยวคล้ายกับได้ยินเสียงต้นหญ้าเหล่านี้ครางด้วยความพึงพอใจและเป็นสุข เธอยิ้มขื่น ๆ คิดว่า ต้องเป็นเพราะที่นี่ประหลาดเกินไปแน่ ๆ เลยพาลทำให้ความคิดของเธอก็เริ่มจะแปลกๆ เสียแล้ว ต้นหญ้า...จะไปมีความคิดได้อย่างไร?
ตอนนี้เองเธอได้กลิ่นหอมสดชื่นจาง ๆ ลอยมาแตะจมูก เธอเหลียวไปดูก็พบกับเรื่องแปลกประหลาด ที่ก้อนหินห่างจากตัวเธอไม่มากมีไม้พุ่มต้นหนึ่งขนาดครึ่งฟุตขึ้นอยู่บนรอยแตกของหิน ไม้พุ่มเตี้ยไม่มีใบต้นนี้แตกต่างจากไม้พุ่มต้นอื่นๆ อย่างที่สุด กิ่งที่โล้นทั้งต้นเป็นสีเงินขาวใต้แสงจันทร์ ปลายกิ่งมีผลไม้ขนาดเท่าไข่ไก่อยู่สามลูก ส่องแสงระยิบระยับสวยงามคล้ายดั่งอัญมณีสีน้ำเงิน
“ผลไม้ป่า!” กลิ่นหอมเย้ายวนที่ลอยมาจากผลไม้ทำให้ถังเหมี่ยวน้ำลายสอ
เธอปีนขึ้นปีนลงเขาทั้งวันเหนื่อยจนแทบขาดใจ อาศัยเพียงลูกอมรสมิ้นท์ดับกระหายเท่านั้น มาถึงตอนนี้ ความกระหายอย่างรุนแรงกระตุ้นให้เธอเดินเข้าไปใกล้ต้นไม้นั้น
เธอลังเลอยู่ครู่หนึ่ง นี่คือผลไม้อะไร? มีพิษหรือเปล่านะ? แต่เรื่องที่พบในวันนี้มีเรื่องไหนไม่ประหลาดล่ะ? ตกเขามาไม่ตายก็นับว่าอัศจรรย์มากแล้ว คงไม่ถูกกำหนดมาให้หิวตายหรอกมั้ง! ถังเหมี่ยวจึงตัดสินใจเอื้อมมือไปเด็ดผลไม้ตรงหน้าโดยไม่ลังเล
ทันใดนั้นเบื้องบนศีรษะกลับมีเสียงเย็นชาของผู้ชายดังขึ้น
"ข้ารอผลไม้ทิพย์เซิ่งหลานนี้มานานกว่าสามปี เสียพลังไปเท่าไรเพื่อคุ้มครองมัน เจ้าอาศัยอะไรถึงมาเด็ดผลไม้นี้โดยมิได้ลงแรงเลย?"
ภูเขารกร้างที่เคยเงียบสงัดมาตลอดกลับมีเสียงคนดังขึ้น กลับน่ากลัวยิ่งกว่าความเงียบมากนัก ถังเหมี่ยวกลัวเสียจนหนังศีรษะชาเห่อ เลือดสูบฉีดเร็วขึ้น เส้นเลือดตรงขมับเต้นกระตุกถี่ เธอใช้เวลาอยู่เป็นนานกว่าจะดึงสติกลับมา เงยหน้าหันไปทางต้นเสียง
ผู้ที่พูดยืนอยู่บนก้อนหินเหนือศีรษะ ยืนอยู่ท่ามกลางแสงจันทร์มีพระจันทร์ดวงใหญ่เป็นฉากหลัง แต่งกายในชุดเสื้อคลุมไม่มีแขนสีเข้มตัวใหญ่ โพสท์ท่าคล้ายกับแบทแมนตามหน้าหนังสือพิมพ์ไห่เป้า เขาหันหลังให้กับดวงจันทร์ ทำให้ถังเหมี่ยวมองหน้าเขาไม่ถนัด เห็นแต่เพียงดวงตาส่องประกายสีเขียวมรกตคล้ายกับสุนัขป่าในทุ่งหญ้ายามราตรี
ลมภูเขาพัดโชยมา ผมยาวสลวยของผู้มาใหม่พลิ้วไสว เสื้อคลุมตัวหลวมโบกสะบัด ถ้าหากสถานที่ที่เธออยู่ในตอนนี้ไม่แปลกประหลาดจนเกินไปนัก ถังเหมี่ยวคงต้องร้องตะโกนว่า “เท่” อย่างแน่นอน