หงสาประกาศิต ตอนที่ 2
ฆ่าคนต้องการเหตุผลด้วยหรือ?
เฟิ่งจือเวยจ้องมองเงานั้น
มงกุฎหยก ชุดยาวพื้นขาวอมฟ้าปักลายด้วยไหมเงิน คลุมทับด้วยเสื้อขนสัตว์บางเบาสีขาวดุจหิมะ เส้นขนสัตว์บนเสื้อเป็นมันเลื่อมส่งประกาย แต่ที่ส่งประกายยิ่งกว่าคือรูปลักษณ์ของคนผู้นั้น ที่เหมือนว่าเป็นส่วนที่ดีที่สุดของทุกความงามบนโลกมนุษย์ รวมเข้าไว้ในใบหน้าคนผู้หนึ่ง สร้างความงดงามน่าตะลึงหลงแก่ทั่วหล้าในชั่วพริบตา
ลมในต้นฤดูหนาวพัดละอองหิมะปลิวมาจากป่าเหมยสีขาวริมฝั่ง ดอกเหมยที่เหมือนเกล็ดหิมะและเกล็ดหิมะที่เหมือนดอกเหมย ลอยผ่านน้ำในทะเลสาบที่แข็งตัวเป็นสีเขียวราวกับก้อนหยก ก่อนจะแหลกสลายในชายแขนเสื้อที่สะบัดพลิ้วอยู่ของเขา ทิวทัศน์ยามฤดูหนาวที่น่าเบื่อกลับดูราวกับภาพวาดขึ้นมาในทันใด
คนที่ห่อหุ้มตัวอยู่ภายใต้ขนสัตว์บางเบานั้นรูปร่างสูงโปร่ง ดุจต้นไม้หยกที่ยืนต้นอยู่บนผาหินริมฝั่งกำลังโน้มตัวลงน้อย ๆ มองตัวนางที่อยู่ในทะเลสาบ
เฟิ่งจือเวยรีบดำลงไปในน้ำทันที แล้วค่อยเงยหน้าขึ้นมา
นางมองเข้าไปในดวงตาเย็นชาสีดำขลับคู่นั้น เป็นนัยน์ตาที่สวยงามอย่างยิ่ง เวลาที่กลอกกลิ้งช่างเป็นประกายจนยากจะทานทน ยามจ้องมองคนกลับดูสงบล้ำลึก ในดวงตากระจ่างคู่นั้นมีประกายสีฟ้าเทาบริสุทธิ์แฝงอยู่ เหมือนผ้าต่วนชั้นเลิศที่ม้วนซ้อนกันเป็นชั้น ๆ ช่างงดงามหรูหราทว่าเย็นเยือก ทำให้คนลุ่มหลงจนงมงาย
เฟิ่งจือเวยยกมือปิดบังหน้าอกไว้ จ้องมองนัยน์ตาชวนฝันเปี่ยมอารมณ์คู่นั้น ในใจกลับคิดว่า ผู้คนบนโลกหล้าคงลุ่มหลงใบหน้าที่ทำให้คนตื่นตะลึงเช่นนี้กระมัง ถึงได้มองไม่เห็นความดำมืดเย็นเยียบเหมือนฉากน้ำแข็งที่อยู่ลึกลงไปพันลี้ในดวงตาของเขา
“ขออภัย โปรดหลีกทางหน่อย” นางเงยหน้าขึ้น ส่งสัญญาณให้คนผู้นั้นหลีกออกจากตำแหน่งที่ยืนอยู่
บุรุษหนุ่มไม่ขยับ ก้มศีรษะลงมองเฟิ่งจือเวยที่ยังยืนอยู่บริเวณน้ำตื้น ท่ามกลางผมยาวที่แผ่สยายเผยให้เห็นใบหน้าหมดจดงดงาม คิ้วเรียวดำเปียกน้ำสีเข้มเหมือนขนนก นัยน์ตาหวานฉ่ำคู่นั้นยามมองคนราวกับถูกคลุมด้วยผ้าบางเบาอยู่ชั้นหนึ่ง
มองดูแล้วช่างเหมือนหญิงสาวแสนบอบบางไร้พิษสงเสียจริง
เป็นใบหน้าที่...ทำให้เขาตกตะลึงเสียจริง
กลางคลื่นน้ำที่กระเพื่อม เฟิ่งจือเวยงอตัว มือทั้งสองข้างบดบังทรวงอกพอดี แม้จะมีท่วงท่าเช่นนี้ก็ไม่ได้มีท่าทีกระอักกระอ่วนไม่สบายใจ และก็ไม่ได้มีท่าทีแตกตื่นตกใจเพราะถูกเห็นเข้าว่าฆ่าคน หากนางยังคงยืนอย่างสงบนิ่งอยู่กลางน้ำ รอยยิ้มที่มีให้บุรุษผู้นั้นแฝงสายตาดุร้ายไม่ยอมอ่อนข้อ
เมื่ออยู่ต่อหน้าดวงตาใสกระจ่างของบุคคลผู้นี้ การเสแสร้งใดๆ ล้วนนำความอับอายมาสู่ตนเอง
“เจ้าคิดจะขึ้นมาทั้งๆอย่างนี้หรือ?” นานนักกว่าเขาจะเอ่ยปาก น้ำเสียงนุ่มนวลดื่มด่ำ แต่หากตั้งใจฟังแล้วก็ยังคงรู้สึกได้ถึงความเย็นชาในความเฉยเมยได้เหมือนเดิม
เฟิ่งจือเวยหันกลับไปมอง ฮูหยินห้าจมลงไปแล้ว
“ถ้าหากนางลอยขึ้นมาล่ะ?” ชายหนุ่มจ้องมองไปยังผิวน้ำบริเวณนั้น “ถึงตอนนั้น เจ้าที่รับผิดชอบกวาดพื้นแถบนี้จะตอบการไต่สวนจากจวนตระกูลชิวอย่างไร?”
เฟิ่งจือเวยรู้สึกว่าน้ำเสียงของเขาไม่เหมือนกำลังเป็นกังวลแทนนาง กลับคล้ายการทดสอบปัญญาเสียมากกว่า แต่ทำไมนางต้องถูกคนแปลกหน้าทดสอบด้วย?
“หือม์?..ไต่สวน?” เฟิ่งจือเวยหัวเราะ เดินลุยน้ำตรงมายังฝั่ง น้ำที่หยดจากตัวนางเปรอะลงบนรองเท้าแพรของเขา ชายหนุ่มหลีกทางให้ทันทีตามที่คาดไว้
“ฮูหยินห้ามาตามนัดของท่าน แต่กลับพลัดตกทะเลสาบอย่างน่าประหลาด...” เฟิ่งจือเวยยื่นมือรวบผมที่เปียกโชก ลูบใบหน้าตัวเองด้วยความเสียดายเล็กน้อย ดูเหมือนว่าสีบนเล็บของฮูหยินห้าจะมีส่วนผสมของ ‘ดอกอู๋น่า’ ที่สามารถนำมาสกัดสีและกลิ่นได้ เมื่อนำผงของสิ่งนี้มาผสมกับน้ำ จะสามารถล้างผิวสีเหลืองเข้มอย่างขิงบนหน้าของนางออก หลายปีมานี้นางใช้ใบหน้าเหลืองเช่นนี้พบผู้คน นี่เป็นคำขอร้องของท่านแม่ นางเองก็รู้สึกว่าช่วยลดความกังวล ที่นี้ดีล่ะ ถูกคนเห็นเข้าจนหมดแล้ว
นางถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้แล้วหันกลับไปยิ้มให้เขา “คนที่จำต้องอธิบายให้จวนตระกูลชิวฟังน่าจะเป็นท่านเสียมากกว่า?”
“มาตามนัดของข้า?” ชายหนุ่มหันศีรษะ ยิ้มอย่างมีเลศนัย “แต่ว่า แม่นาง ดูหมือนว่าคนที่กำลังนัดพบกับข้าจะเป็นเจ้านะ ไม่ใช้สาวแก่ครึ่งอายุคนผู้นั้น”
เฟิ่งจือเวยยืนนิ่ง เอียงศีรษะมองเขา ดวงตาของนางหวานฉ่ำทอประกายอ่อนโยนมาตั้งแต่เกิด เมื่อมองมาพร้อมทั้งรอยยิ้มเช่นนี้ ก็ยิ่งดูนุ่มนวลราวกับบุปผาที่พร้อมจะแหลกสลายเมื่อถูกแตะเข้าเพียงครั้งเดียว
“เช่นนั้นหรือ? นั่นนับเป็นเกียรติของบ่าวผู้ต่ำต้อยจริง ๆ...ถ้าเช่นนั้น ขอเรียนถามคุณชาย...ตัวบ่าวเป็นใครชื่อแซ่อะไร?”
รอยยิ้มที่มุมริมฝีปากชายหนุ่มยิ่งลึกขึ้น ยื่นมือรวบตัวนางเข้ามาในทันใด กระซิบข้างหูนางว่า “ไม่ช้าก็เร็วเจ้าจะบอกข้าเอง...”
เฟิ่งจือเวยตกอยู่ในอ้อมกอดของเขาโดยไม่ทันได้ตั้งตัว ภายหลังการดิ้นรนที่ไม่ทำให้เกิดการขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อย ตอนนี้เองนางถึงได้รู้ว่าคนที่ดูสูงโปร่งสง่างามผู้นี้ กำลังภายในกลับไม่ธรรมดาเลย นางหลุบตาลงมองนิ้วมือที่รวบแขนตนเองไว้ นิ้วเรียวยาวเห็นข้อได้ชัด เค้าโครงงดงามไม่เหมือนมือของผู้ฝึกการต่อสู้ แต่กลับเปี่ยมด้วยพลังที่ไม่สามารถต่อต้านได้
เขาขยับเข้ามาชิดนางมาก กลิ่นเย็นของใบสะระแหน่ปะทะจมูก มันเป็นกลิ่นที่ทั้งเย็นจัดและดึงดูด กลิ่นไม่ฉุนทว่ากรุ่นกำจายไปทั่ว นางขมวดคิ้วอย่างไม่คุ้นชิน ยังคิดจะขัดขืนต่อแต่ได้ยินเสียงย่ำฝีเท้าดังมาจากด้านหลังเขา
มีคนตะโกนเสียงเข้มว่า “อวี้หวาล่ะ ให้นางไปรับรองที่เรือนด้านหน้า ทำไมไม่เห็นแม้แต่เงา?”
เฟิ่งจือเวยใจสั่น นางรู้จักเสียงนี้ เสียงท่านลุงของนาง ชิวซ่างฉีผู้บัญชาการทหารห้ากองทัพ แม่ทัพฝ่ายบู๊ที่เป็นที่โปรดปรานอันดับหนึ่งของรัชกาลนี้
ส่วนอวี้หวา ตอนนี้กำลังจมอยู่ในทะเลสาบใต้เท้านาง
ด้านหลังชิวซ่างฉีมีคนรายงานอะไรบางอย่าง พูดได้เพียงครึ่งก็ถูกชิวซ่างฉีตัดบท เขาร้อง “โอ้...”ก่อนพูดต่อว่า “ที่แท้ท่านอยู่ตรงนี้นี่เอง...”
เสียงพูดนั้นหันมาทางเฟิ่งจือเวย แต่พูดได่เพียงครึ่งก็ถูกชายสวมชุดขนสัตว์เนื้อบางเบาแทรกขึ้น “ใต้เท้าชิว ข้าก็เดินไปเรื่อย ทำไม ไม่สะดวกหรืออย่างไร?”
“มิบังอาจ” ชิวซ่างฉีโค้งตัวคำนับในทันที น้ำเสียงตื่นกลัว
เฟิ่งจือเวยฟังแล้วกลับรู้สึกว่า น้ำเสียงของท่านลุงแม้จะมีความกลัวอยู่แต่กลับไม่มีความเคารพเท่าที่ควร ส่วนน้ำเสียงของบุรุษผู้นี้ก็ไม่ประณีประนอม เป็นบทสนทนาที่ฟังดูแปลกอยู่สักหน่อย
“อวี้หวาเป็นนางบำเรอในจวน ชำนาญการระบำและการเล่นผีผา[1] เดิมทีมอบหมายให้มารับใช้ท่าน” ชิวซ่างฉีหัวเราะอย่างกระอักกระอ่วน “เพียงแต่นางป่วยกะทันหัน.......”
“ข้าได้พบนางแล้ว” บุรุษในชุดเสื้อขนสัตว์พูดด้วยน้ำเสียงปลอดโปร่ง เฟิ่งจือเวยคิ้วกระตุก เงยหน้าขึ้นมองเขา สายตาของทั้งสองคนสบกัน ชายหนุ่มส่งยิ้มหยอกล้อให้นาง
ได้พบแล้ว อยู่ใต้น้ำ
สายตาทั้งสองสอดประสาน ใช้แววตาพูดคุยโดยไร้เสียง
..........รู้หรือไม่ว่าข้าจะพูดอะไร?
..........นั่นเป็นเรื่องของท่าน
..........กลัวหรือ?
..........ฆ่าคนต้องชดใช้ด้วยชีวิต ไม่มีอะไรต้องคับแค้น
แววตาของนางยิ้มแต่ต้นจนจบ ดูอารมณ์ที่แท้จริงในส่วนลึกของจิตใจไม่ออก มีเพียงนิ้วมือที่วางอยู่บนตำแหน่งหัวใจเขาเท่านั้นที่เย็นเล็กน้อย...ชายหนุ่มเลิกคิ้วขึ้น รู้สึกแปลกใจที่สามารถสัมผัสถึงความเย็นนั้นได้แม้จะถูกกั้นด้วยเสื้อผ้าในฤดูหนาวพวกนี้ รู้สึกไปเองอย่างนั้นหรือ? หรือว่าแผลเก่าบนหน้าอกจากการถูกความหนาวเข้ากระดูกทำร้ายจะอาการกำเริบอีกแล้ว
โรคเก่าที่สงบไปนานกลับมาในเวลานี้ หญิงสาวตรงหน้าที่มีนัยน์ตาหวานหยาดเยิ้มเหมือนหมอกบังให้ความรู้สึกยากจะไขว่คว้า ทำให้เขาตกอยู่ในภวังค์อย่างไม่มีเหตุผล
ช่างเป็นคนที่น่าสนใจนัก...
ความคิดนับไม่ถ้วนวนเวียนแค่เพียงชั่วพริบตา วินาทีต่อมาเขาก็ละสายตา เอี้ยวตัวกลับไปสบกับสายตาสงสัยของชิวซ่างฉี
“อ้อ ข้าฆ่านางแล้ว”
น้ำเสียงเรียบเรื่อยไร้ความสำคัญ เหมือนพูดถึงมดที่ถูกเหยียบตายตัวหนึ่ง
ชิวซ่างฉีเบิ่งตากว้างอย่างตกตะลึง รอยยิ้มบนใบหน้างามสง่าของบุรุษที่อยู่ตรงหน้าทำให้เขาหายใจสะดุด พร้อมกับนึกถึงคำเล่าลือในเมืองตี้จิงเกี่ยวกับบุคคลผู้นี้ อารมณ์แปรปรวนและความอำมหิตที่อยู่เบื้องหลังความงดงามสูงส่งและท่าทีไม่แยแสอะไรเหล่านั้น ทำให้เขาต้องรีบกลบเกลื่อนท่าทางตื่นตระหนกที่หลุดออกมาอย่างห้ามไม่ได้เอาไว้ทันที แล้วพูดด้วยเสียงนอบน้อมว่า “...สังหารแล้วก็แล้วไป คงเป็นเพราะนางบำเรอไร้มารยาทจาบจ้วงท่าน...”
บุรุษในชุดคลุมขนสัตว์ค่อย ๆ ถกแขนเสื้อขึ้นแล้วพูดตัดบทชิวซ่างฉีเหมือนเดิม ด้วยน้ำเสียงเฉื่อยเนือยเหมือนลมที่พัดประสานเกล็ดหิมะในฤดูหนาว “ฆ่าคนต้องการเหตุผลด้วยหรือ?”
“ฆ่าคนต้องการเหตุผลด้วยหรือ?”
“ต้องการเหตุผลด้วยหรือ?”
“ต้องการหรือ?”
“ไม่ต้องการหรือ?”
เฟิ่งจือเวยห่อหุ้มร่างด้วยเสื้อผ้าหมาดชื้น ลากไม้กวาดเดินตัวสั่นเทาอยู่บนทางที่ปกคลุมด้วยหิมะในยามเช้า ปากก็พึมพำประโยคคำตอบที่แสนจะเย่อหยิ่งก้าวร้าวนั่นไม่หยุด
ชายหนุ่มที่มองดูเรียบร้อยสูงส่งเหมือนต้นไผ่ท่ามกลางหิมะผู้นั้น เพียงเอ่ยปากขึ้นมากลับทำให้คนหมดคำพูดถึงเพียงนี้ ตลอดมาเฟิ่งจือเวยคิดว่าตนเองสงบนิ่งได้ไม่เลว แต่เมื่อได้ยินประโยคนั้นกลับอดตัวสั่นไม่ได้
ตอนแรกนึกว่าถึงท่านลุงจะไม่แสดงอาการโมโหโกรธาก็จริง แต่ก็ต้องไม่พอใจอย่างแน่นอน ไม่คิดเลยว่าท่านลุงกลับหัวเราะแห้งๆ สองสามครา คล้ายกับว่าคุ้นเคยกับวิธีการพูดของคนผู้นี้เป็นอย่างยิ่ง ระหว่างนั้นท่านลุงชะเง้อคออยู่หลายครั้งหวังจะมองให้เห็นนางที่ถูกบังเอาไว้ แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงได้ไม่เดินใกล้เข้ามา
ทั้งสองคนพูดคุยตามมารยาทอยู่หลายคำ ท่านลุงก็ถูก ‘เชิญกลับไป’ หลังจากท่านลุงกลับไป ชายผู้นั้นก็คลายอ้อมแขนปล่อยนางจากไป ก่อนไปยังจ้องมองนางอย่างขบคิด จ้องเสียจนนางขนลุกทั้งตัว
เฟิ่งจือเวยกอดอก ถอนหายใจอย่างจนปัญญา ดวงไม่ดีเลยจริงๆ...อดทนอดกลั้นมาตั้งนานหลายปี ไม่ง่ายนักกว่าจะมีโอกาสฆ่าคนครั้งแรก กลับถูกคนจับได้คาหนังคาเขา ปีชง[2]นี่โชคร้ายจริงๆ
แม้ว่าท้ายสุดแล้วคนผู้นั้นจะไม่ได้ทำให้นางเดือดร้อน ซ้ำยังปัดความผิดให้พ้นตัวนาง แต่เฟิ่งจือเวยกลับไม่กล้าจะรู้สึกโชคดีเพราะเรื่องนี้แม้แต่น้อย
เพราะการพบกันชั่ววินาทีครั้งแรกในทะเลสาบน้ำแข็ง จากเงาที่สะท้อนในน้ำทะเลสาบสีเขียวหยกนั่น นางมองเห็น...จิตสังหาร...ได้ชัดเจน
เพราะเหตุนี้นางถึงยืนตัวแข็งทื่ออยู่ในทะเลสาบน้ำแข็ง ไม่กล้าแม้แต่จะกระดิกขนสักเส้น
“ความรู้สึกที่คนอื่นเป็นมีดแล่เนื้อส่วนข้าเป็นเนื้อปลานี่มันแย่เสียจริง...” เฟิ่งจือเวยถอนใจ ปัดไม้กวาดไปข้างหน้าอย่างขอไปที ไม้กวาดแกว่งไปมาอย่างไร้แรง ปัดขึ้นมาได้เพียงเศษหิมะเล็กๆ เฟิ่งจือเวยเก็บไม้กวาดอย่างโกรธ คิดอย่างเหม่อลอยว่าเมื่อไหร่ตัวเองจะวางท่าแบบนั้นได้บ้างสักครั้ง
หากตนเองทำได้ คงไม่ต้องคุกเข่าหน้าประตูบ้านคนอื่นในเดือนสิบสองอันหนาวเหน็บดื่มน้ำล้างเท้าอีก
หากตนเองทำได้ คงไม่ต้องถูกพวกสารเลวมีตาแต่ไร้แววนั่นนำนางไปขังไว้ในห้องร้าง
หากตนเองทำได้ คงไม่ต้องอยู่ใต้อาณัติของคนอื่น มองดูมารดาอดทนอดกลั้นพยายามปกป้องนางกับน้องชายโดยที่ทำอะไรไม่ได้
......
ฝันไปเถอะ เฟิ่งจือเวยหัวเราะเยาะตัวเอง ลากไม้กวาดเดินตรงไปเบื้องหน้า
คนที่จะมีชีวิตอยู่ได้ไม่เกินยี่สิบปี จะคิดมากขนาดนั้นไปทำไม
เงาร่างของนางเดินไม่เร็วและไม่ช้า อ้อมแนวรั้วที่เป็นพุ่มดอกไม้ไป แต่กลับไม่รู้เลยว่าด้านหลังรั้วนั้นมีคนจ้องมองนางเงียบๆอยู่โดยตลอด
เห็นจนหมดสิ้นถึงความอับจนหนทางและไร้ทางเลือกในแววตาของนาง
มุมหนึ่งบนรั้วมีเถาองุ่นเขียวเลื้อยพันอยู่ เมื่อลมพัดผ่านเถาองุ่นจะมีเพียงเสียงใบไม้ไหว ไม่สามารถรับรู้ได้ถึงการมีอยู่ของคนเลยแม้แต่น้อย มีเพียงตรงช่องว่างท่ามกลางใบไม้สีเขียวเข้ม ที่เห็นคิ้วเรียวดำเข้มดุจขนนกที่ล่องลอยอยู่ท่ามกลางภูเขาอันไกลโพ้นตามภาพวาด ที่เลิกขึ้นเล็กน้อย
เนิ่นนานหลังจากนั้น
“หนิงเฉิง”
“ขอรับ”
“เจ้าว่า...” บุรุษหนุ่มจับปกเสื้อคลุมขนสัตว์ตั้งขึ้น ขนสัตว์เป็นมันเลื่อมปิดใบหน้าไปครึ่งหนึ่ง รอยยิ้มในดวงตาสุกใสราวกับกระจกนั้นดูเย็นยะเยียบลึกล้ำ “สังหารนางจะดีไหมนะ? นางทำเรื่องข้าเสีย นอกจากนี้ ข้ามักรู้สึกว่า...มีอันตรายอยู่บ้าง”
“นายท่าน ” ชายหนุ่มหน้าตาธรรมดาสวมชุดสีเทาที่อยู่ข้างกายเขาจ้องมองเงาหลังของหญิงสาวอย่างตั้งใจ กางนิ้วออกแล้วนับก่อนจะพูดอย่างเคร่งขรึมว่า “ครึ่งเค่อ[3]”
ความหมายของครึ่งเค่อก็คือทั้งสังหารคนทำลายศพพร้อมกลบร่องรอยทั้งหมดเสร็จในครึ่งเค่อ
บุรุษหนุ่มที่สวมชุดขนสัตว์ใช้นิ้วมือจับคาง มองบริวารที่มีสัญชาตญาณแม่นยำเกินคนผู้นึ้ด้วยท่าทีคล้ายยิ้มไม่คล้ายยิ้ม “ช่วงนี้ความเร็วของเจ้าตกลง”
“สตรีนางนี้แตกต่างนิดหน่อย” หนิงเฉิงยังคงจริงจังเหมือนเดิม “นางทำให้ข้ารู้สึกเกิดความรู้สึกบางอย่างที่เหมือนคุ้นเคย ทั้งลึกลับ ทั้งอันตราย ทั้งอำมหิต ทั้งเหมือนไม่ใช่คน...” เขาเอียงศีรษะคิด ใคร่ครวญด้วยความสับสนเล็กน้อย “เหมือน...”
ชายหนุ่มเลิกคิ้วสูง ดวงตาพลันปรากฎแววยิ้มหยัน....ทั้งลึกลับ ทั้งอันตราย ทั้งอำมหิต...เหมือนไม่ใช่คน
เมื่อได้เห็นสีหน้าผู้เป็นนาย ชายผู้นั้นพลันมีท่าทีนึกออกในฉับพลัน ทำให้เขาปรบมืออย่างดีใจ “เหมือนนายท่าน ! ”
..........
ชายหนุ่มยกมือป้องปากกระแอมไอ จ้องผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาที่กำลังดีใจนหน้าบาน ก่อนจะยิ้มเล็กน้อย “อย่างนั้นหรือ?”
หนิงเฉิงยังคงไม่รู้สึกตัว พยักหน้าอย่างแรง “ใช่!”
ชายสวมชุดสีเทาอีกผู้หนึ่งที่ยืนเงียบอยู่อีกข้างหนึ่งมาตลอดหลั่งเหงื่อเย็นยะเยียบ รีบลากเจ้าตัวนำโชคร้ายออกไป...
บุรุษหนุ่มเต็มไปด้วยความสนุกขณะที่มองดูลูกน้องพุ่งตัวหนี ก่อนจะหันศีรษะกลับไปมองทางที่เฟิ่งจือเวยหายลับไป นึกถึงใบหน้าที่ทำให้เขาตกตะลึงของหญิงสาว นัยน์ตาพลันไหวระริก ผ่านไปเนิ่นนานจึงยิ้มบาง ๆ
ขณะที่สวมเสื้อคลุมกันลมทำจากผ้าต่วนลายมังกรสีดำสนิทดุจหมึกอย่างเกียจคร้านภายใต้การปรนนิบัติจากองครักษ์ เขากวาดตามองรอบด้านอีกครั้ง เอามือไพล่หลังยิ้มน้อย ๆ แล้วจากไป
“เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าจะคอยดู” เสียงหัวเราะนั้นไม่ดัง แต่กลับก้องสะเทือนจนต้นไม้โกร๋นรอบบริเวณสะท้าน “ดูซิว่านางจะเหมือนข้าหรือไม่ ที่สามารถเอาชีวิตรอดในเมืองตี้จิงที่มีแต่คลื่นลมของภยันอันตราย และปัญหาที่เริ่มตั้งเค้าแห่งนี้ได้ ดูซิว่านางจะสามารถ...” เสียงนั้นเงียบไป จิตสังหารแผ่วจางพลันเกิดขึ้น ดอกเหมยขาวดอกหนึ่งบนยอดของกิ่งแหลกละเอียดเป็นผุยผง “...มีชีวิตอยู่ได้เกินสามเดือนหรือไม่”
[1] ผีผา เครื่องดนตรีชนิดหนึ่งของจีน มีรูปร่างคล้ายผลผีผา ใช้ดีด
[2] ปีชง ตามหลักหมอดูจีน แต่ละปีนักษัตร จะมีปีนักษัตรที่ไม่ถูกกัน เมื่อเจ้าชะตาเกิดปีใดปีหนึ่ง แล้วบรรจบกับปีนักษัตรที่ไม่ถูกกับปีเกิดนั้น ก็จะเรียกว่าเป็นปีชง ซึ่งถือว่าจะเกิดโชคร้าย สร้างความเดือดร้อนมากกว่าปีปกติ
[3] เค่อ หน่วยนับเวลาของจีน 1 เค่อ ประมาณ 15 นาที