สวรรค์ลิขิตรัก ตอนที่ 2
พลัดเข้าภพเซียน
“นาง....เป็นแค่มนุษย์ธรรมดาหรือนี่?”
ก้อนหินเมฆขาวก่อตัวขึ้นเป็นแท่นข้ามภพเซียน ลอยสงบนิ่งอยู่ท่ามกลางทะเลเมฆ ปลายด้านหนึ่งของแท่นเชื่อมติดกับสะพานรุ้งข้ามภพเซียน แสงงามงดดุจอัญมณีแพรวพราวระยิบระยับหาที่เปรียบมิได้ นกกระเรียนขาวจำนวนหนึ่งกระพือปีกอย่างสง่างามอยู่กลางเวหา พร้อมกับส่งเสียงเจื้อยแจ้วอย่างสบายอารมณ์บินห่างออกไป
บนแท่นข้ามภพเซียนมีสองผู้เฒ่าหนึ่งสูงหนึ่งเตี้ยยืนอยู่ ทั้งสองสวมเสื้อคลุมหลวมกว้างตัวยาวสีขาวคล้ายไหมไม่เหมือนไหม คล้ายแพรไม่เหมือนแพร แขนเสื้อยาวปลิวสะบัดไปตามลมเบา ๆ ยังมีคิ้วสีขาวยาวถึงขากรรไกรปลิวไหว ดูมีลักษณะคล้ายผู้บำเพ็ญพรตอยู่มาก เพียงแต่ว่าเวลานี้สีหน้าของทั้งสองกลับราวกับเห็นผี ไม่มีท่าทีของความเป็นอิสระเสรีและเบิกบานใจอันเป็นลักษณะยามปกติของเหล่าเซียนเลย
อันนี้จะโทษทั้งสองก็ไม่ได้ เสวี่ยซงกับอิ๋นซงรับหน้าที่ดูแลจัดการเรื่องราวในตำหนักชักนำเซียนที่แดนอุดรมาสามหมื่นปีแล้ว เป็นครั้งแรกที่รับเอามนุษย์ธรรมดาจากสะพานข้ามภพมายังภพเซียน
สะพานข้ามภพเซียน ก็อย่างที่ชื่อบอกไว้คือมีแต่คนที่กลายเป็นเซียนเหาะได้เท่านั้นจึงจะข้ามไปได้ คนธรรมดาบนโลกไม่มีทางเห็นความคงอยู่ของสะพานนี้ได้ ด้วยอำนาจมนตราของภพเซียนที่ผนึกกั้นภพไว้ยิ่งมิอาจเป็นไปได้ที่มนุษย์ธรรมดาจะเหยียบย่างลงบนบันไดแม้แต่ก้าวเดียว
“นางขึ้นมาถึงสะพานได้อย่างไร?” เสวี่ยซงผู้มีรูปร่างเตี้ยพึมพำออกมาด้วยความสงสัย เขานั่งยอง ๆ ยื่นนิ้วมือที่อ้วนสั้นออกมาจิ้มลงตรงหว่างคิ้วของถังเหมี่ยว
ถังเหมี่ยวที่อยู่ในอาการสลึมสะลือรู้สึกทันทีว่าเหมือนมีก้อนน้ำแข็งวางไว้ตรงหว่างคิ้ว จึงขมวดคิ้วอย่างไม่ค่อยสบาย คิ้วเรียวสวยราวกับไผ่สองเส้นชี้ขึ้นอย่างเดือดดาล ดูเหมือนกำลังหงุดหงิดใจที่มีคนมากวนให้ตื่น! ถังเหมี่ยวยังหลับตาปี๋ทนเอา ถ้ายังขืนมากวนเธอให้ตื่นอีก เธอจะลุกขึ้นไปฟาดซะ!
พลังวิเศษสายหนึ่งสะท้อนกลับออกมาจากหน้าผากเธอ เสวี่ยซงไม่คาดคิดมาก่อนว่ามนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งจะมีอิทธิฤทธิ์เช่นนี้ จึงผงะหงายไปอย่างไม่รู้ตัว และเนื่องจากใช้พลังมากไปบวกกับศูนย์ถ่วงไม่สมดุลย์ ร่างกายที่กลมกลิ้งเลยล้มก้นจ้ำเบ้าลงกับพื้น เขามองสาวน้อยอ่อนวัยที่อยู่บนพื้นนางนี้อย่างประหลาดใจจนพูดไม่ออกอยู่ครึ่งค่อนวัน
อิ๋นซงที่สูงชะลูดราวกับต้นไผ่กลับไม่ได้สังเกตถึงพลังวิเศษที่พุ่งออกมาจากหน้าผากของถังเหมี่ยว เขาออกจะเยาะเย้ยอยู่ในใจว่า ท่านพี่เสวี่ยซงอยู่ในภพเซียนมาก็ตั้งนานเสียเปล่า ดันเห็นว่ามนุษย์ธรรมดาเป็นปีศาจไปเสียแล้ว พอเห็นก็ตะลึงไปเลย
คนผู้นี้ก็คือผู้ที่อิ๋นซงไปลากลงมาจากสะพานข้ามภพ ดังนั้นเขารู้สึกว่าตัวเองมีหน้าที่จะต้องอธิบายสักหน่อย เขาอึก ๆ อัก ๆ แล้วพูดว่า
“ผู้น้องจับยามสามตาพอได้เวลาก็เปิดประตูสวรรค์ พอดีเห็นหญิงสาวนางหนึ่งร่วงตกลงมาที่สะพาน มนุษย์ธรรมดาไหนเลยจะเหยียบย่างบนสะพานข้ามภพได้ล่ะ? ผู้น้องจึงเข้าใจไปว่านางก็คือมนุษย์ผู้กลายเป็นเซียนที่เหาะขึ้นมาแล้วพวกเราต้องมาคอยรับในวันนี้ จึงปิดประตูสวรรค์แล้วก็คว้านางมา.....ใครจะทราบ....กลับกลายเป็นมนุษย์ธรรมดาที่บังเอิญมีวาสนาขึ้นสะพานมาพอดี ส่วนผู้กลายเป็นเซียนที่เหาะขึ้นมานั้นดวงวิญญาณกลับแตกซ่านสลายอยู่นอกประตูสวรรค์ไปแล้ว”
พอได้ยินคำพูดสุดท้าย เสวี่ยซงตื่นตัวขึ้นมาในทันใด เขาคลานกุกกักขึ้นมาจากพื้นแล้วถามอย่างร้อนรน “แล้วเซียนที่เหาะขึ้นมาคนนั้นก่อนที่ดวงวิญญาณจะแตกซ่านสลายกระจายไป ดวงวิญญาณของนางอาจจะลอยเข้ามาในประตูหรือเปล่า?”
อิ๋นซงเหลือบมองเสวี่ยซงด้วยสายตาประหลาดพิกล กระแอมกระไอให้โล่งคอแล้วตอบ “พี่เสวี่ยซงลืมไปแล้วหรือ เวลาที่เปิดปิดประตูภพเซียน ผนึกมนตราที่กั้นภพจะสำแดงอานุภาพอย่างรุนแรง เซียนที่เหาะขึ้นมาผู้นั้นหากไม่สามารถเหยียบย่างขึ้นบนสะพานข้ามภพได้ เนื้อหนังมังสาตลอดจนดวงวิญญาณจะสูญสลายกลายเป็นเถ้าไปในพริบตาที่ประตูปิด”
คำพูดของอิ๋นซงประหนึ่งสายฟ้าฟาดโสตประสาทจนหูทั้งสองดับ ความหวังใยสุดท้ายมลายหายหมดสิ้น ในหัวมีเสียงสะท้อนดังหึ่ง ๆ เสวี่ยซงรำพึงรำพันออกมา “ข้ากำชับเจ้าน้อยไปประโยคหนึ่ง....เจ้ารู้หรือเปล่าว่าวันนี้เซียนที่เหาะขึ้นมาให้เรามาคอยรับผู้นั้นคือใคร? ก็คือเทพธิดาคุมพลังน้ำผู้ถูกทำโทษลดชั้นลงไปเผชิญวัฏฏะสงสารยังโลกมนุษย์”
อิ๋นซงเอียงหัวแล้วเอียงหัวอีก ถามอย่างลังเลว่า “เทพธิดาคุมพลังน้ำคนไหน?”
เสวี่ยซงถอนหายใจยาวอย่างคับแค้นแน่นอก “ก็ต้องเป็นเทพธิดาที่ทำหน้าที่ดูแลน้ำซึ่งจุติมาจากครรภ์ฤทธีของธารช้างเผือกคนนั้น...หลงปิงอวี้!....หลงปิงอวี้คนที่องค์รัชทายาทแดนปัจฉิมไม่เสียดายที่จะตั้งทัพที่ธารช้างเผือกเพื่อปกป้องชีวิตของนาง...! วันนี้ตรงกับระยะเวลาที่นางลงไปเวียนว่ายตายเกิดครบสิบชาติแล้วกลายเป็นเซียนเหาะกลับขึ้นมาพอดี”
อิ๋นซงราวกับโดนกระบองทุบหัว ยืนเซ่ออยู่กับที่
ผู้ดูแลตำหนักทั้งสองแม้ปกติจะเอาแต่หมกตัวอยู่ในตำหนักชักนำเซียนเพื่อเสพย์สุขสำราญไปวัน ๆ ไม่ถามไถ่เรื่องราวต่าง ๆ ในแดนเซียน แต่เรื่องใหญ่โตของภพเซียนกลับยังคงรู้กระจ่างชัด อิ๋นซงเข้าใจในบัดดลว่าความหุนหันของตนได้ก่อเรื่องราวพิบัติภัยใหญ่หลวงอย่างไรขึ้นแล้ว
แดนปัจฉิมกับแดนอุดรเกือบก่อสงครามกันเพราะเรื่องงานแต่งงาน เพื่อหลงปิงอวี้แล้ว องค์รัชทายาทถึงกับยอมลดทิษฐิ รับปากแต่งงานกับองค์หญิงจีอิ๋งแห่งแดนอุดรเพื่อยกให้องค์หญิงเป็นพระชายาเอกของรัชทายาท แต่มีเงื่อนไขว่าเมื่อหลงปิงอวี้ผ่านพ้นมหันตเคราะห์กลับมาแล้ว ต้องแต่งตั้งให้เป็นพระสนมและแต่งกับเขาด้วยพร้อมกัน
มหาเทพแดนอุดรเพื่อเห็นแก่สันติสุขแห่งภพเซียนเป็นสำคัญ จึงหว่านล้อมให้องค์หญิงยอมรับเงื่อนไขอย่างสงบ ฝ่ายมหาเทพแดนปัจฉิมเพื่อไม่ให้เกิดเรื่องขึ้นอีก รีบจัดการกับโอรส โดยใช้สุราวิเศษฤทธิ์ร้อนแรงหลิงหัวฉงกาหนึ่งมอมซีอวี๋ฮ่าวจนเมามาย แล้วส่งไปคุมตัวไว้ที่ใต้ทะเลอนธการ เพียงรอให้หลงปิงอวี้ผ่านมหันตภัยได้แล้วสำเร็จเป็นเซียนเหาะกลับขึ้นมา จึงจะปล่อยซีอวี๋ฮ่าวออกมา
เผชิญเคราะห์ภัยในวัฏฏะสิบชาติของโลกมนุษย์ เทียบกับภพเซียนเพียงแค่ไม่เกินร้อยวัน
ตอนนี้ผ่านไปสามเดือนแล้ว หลงปิงอวี้ไปเวียนว่ายตายเกิดในโลกมนุษย์สิบชาติครบแล้วจึงได้กลับเป็นเซียนโดยบริบูรณ์ ผลสุดท้ายกลายเป็นว่ากระทั่งสะพานข้ามภพยังไม่ทันได้เหยียบ ดวงวิญญาณกลับแตกซ่านสลายกลายเป็นธุลี
อิ๋นซงตกตะลึงไปพักใหญ่ ปากคอค่อย ๆ ขม ทว่ายังคงกอดความหวังอยู่ใยหนึ่ง กล่าวว่า “หญิงสาวสามัญคนนี้กับหลงปิงอวี้แม้จะอยู่คนละมิติ ทว่ากลับบังเอิญตกลงมาในช่วงที่ประตูสวรรค์เปิดพอดี นางได้ขึ้นถึงสะพานข้ามภพ ส่วนหลงปิงอวี้กลับสลายกลายเป็นเถ้าธุลี แม้ข้าอาจปิดประตูเร็วไปนิดหนึ่ง แต่หลงปิงอวี้ไร้วาสนาเซียนนั่นก็เป็นชะตาฟ้าลิขิต เมื่อฟ้ากำหนดเช่นนี้ ซีอวี๋ฮ่าวนั่นก็คงไม่มีอะไรจะว่าได้ พวกเราอย่างมากสุดก็แค่โดนคาดโทษฐานไม่ตรวจตราให้ดี รับคนมาผิดก็เท่านั้นเอง”
เสวี่ยซงแหงนมองอิ๋นซงที่สูงกว่าตัวเองถึงสองช่วงศีรษะ โกรธจนหน้าเขียว กระโดดโลดเต้นร้องว่า “ดูแลตำหนักชักนำเซียนมาสามหมื่นปี เจ้าเคยเห็นผู้บำเพ็ญเซียนสักกี่คนที่ไม่ต้องผ่านคราเคราะห์มหันตภัยโดนอสนีสวรรค์ผ่าร่าง โดยเฉพาะองค์มหาเทพของสองแดนให้ความสำคัญกับหลงปิงอวี้อย่างที่สุด ถึงได้มีโองการให้พวกเราสองคนเปิดประตูสวรรค์รับนางให้ขึ้นสะพานข้ามภพเข้าสู่ภพเซียนอย่างปลอดภัย ต่อให้หลงปิงอวี้ไร้ซึ่งวาสนากับภพเซียน มหาเทพทั้งสองแดนจะคิดอย่างนี้ไหม? ทั้งสององค์ต้องคิดว่าพวกเราสองคนหลังจากรับคนมาผิดจึงรีบปิดประตูสวรรค์ถึงได้ก่อให้เกิดสถานการณ์เช่นนี้ เป็นผู้ดูแลตำหนักชักนำเซียนเมื่อรับคนมาผิดจะต้องรับโทษทัณฑ์เช่นไร? อย่างมากขึ้นแท่นประหารเซียนโดนโบยอิทธิฤทธิ์เสื่อมถอย เนรเทศไปอยู่แดนกันดารในไตรโลกให้บำเพ็ญเพียรอย่างแสนลำเค็ญ แต่วันนี้รับคนมาผิดแล้วผลลัพธ์กลับจะไม่เหมือนกัน หากสองมหาเทพกริ้วขึ้นมา พวกเราตาเฒ่าสองคนในอนาคตจะยังจะมีวันดี ๆ กันอีกหรือ?”
ล่วงเกินมหาเทพของสองแดนแล้ว ที่แย่หนักคือล่วงเกินซีอวี๋ฮ่าวผู้นั้น....ผู้ซึ่งกล้ายกทัพไปข่มขู่มหาเทพแดนอุดร ผู้ทำให้มหาเทพแดนปัจฉิมพิโรธจนแทบเป็นลมไป ยังจะมีอะไรที่เขาไม่กล้าทำ?
อิ๋นซงสยิวกายอย่างหนาวเหน็บ ค่อย ๆ พูดว่า “นางตกจากหน้าผาก็ควรจะนับว่าเป็นคนตายไปแล้ว มิสู้ทำลายดวงวิญญาณของนางให้แหลกสลาย ปิดบังความผิดพลาดเรื่องรับหญิงมนุษย์ธรรมดาเข้ามาภพเซียนนี้ไว้ มหาเทพไม่ทรงทราบถึงต้นสายปลายเหตุของเรื่องนี้ ก็คงจะคิดว่าหลงปิงอวี้กับภพเซียนไม่มีวาสนาต่อกัน กระทั่งสะพานข้ามภพยังขึ้นมาไม่ได้ ก็คงจะโทษว่าเราทั้งสองไม่ได้แล้ว”
เสวี่ยซงจ้องอิ๋นซงอยู่พักหนึ่ง ค่อยถอนใจยาว “ข้าเพิ่งจะตรวจคัพภะวิญญาณของนาง ตอนหลงปิงอวี้กายเนื้อสลายเป็นเถ้าธุลีดวงวิญญาณแตกซ่านสลายนั้น ได้ประจุดวงจิตเสี้ยวหนึ่งกับพลังฤทธีทั้งหมดของนางอัดเข้าไปในร่างมนุษย์หญิงผู้นี้ ดังนั้นมนุษย์หญิงผู้นี้ถึงได้ขึ้นสะพานข้ามภพอย่างปลอดภัย ตอนนี้ถ้าทำลายดวงวิญญาณนางให้แหลกสลาย ดวงจิตเสี้ยวสุดท้ายของหลงปิงอวี้ก็จะไม่อาจฟื้นคืนกลับมาได้ ภายหน้าหากถูกซีอวี๋ฮ่าวรู้เข้าว่าพวกเราทำลายดวงจิตเสี้ยวสุดท้ายของหลงปิงอวี้ เขายังจะปล่อยพวกเราไว้หรือ? เขาคงจะยึดหลักความเป็นธรรม เผาจิตวิญญาณของพวกเราให้มอดไหม้ คิดหรือว่ามหาเทพทั้งสองแดนจะช่วยพูดให้พวกเรา?”
เหงื่อค่อย ๆ หยดจากหน้าผากของอิ๋นซง คิดอยู่นานสองนาน ในที่สุดก็พบอย่างหมออาลัยตายอยาก ว่าตนเองไม่เพียงแต่รับคนมาผิด ที่รับมายังเป็นเผือกร้อนลวกมืออีกต่างหาก อิ๋นซงมองเสวี่ยซงอย่างกระวนกระวาย หน้าตาเหยเกใกล้จะร้องไห้ “พี่ใหญ่ เช่นนั้นท่านว่าควรทำอย่างไรดี? หรือว่าต้องเล่าความจริงออกมา? ผ่านไปอีกพันปีผู้น้องก็จะได้เลื่อนขึ้นเป็นเซียนเทพแล้วนะ โดนโบยจนอิทธิฤทธิ์เสื่อม ที่บำเพ็ญเพียรมาอย่างแสนลำบากหลายพันปีมิเท่ากับเสียแรงเปล่าแล้วหรือ?”
อิ๋นซงต้องรับผิดชอบ เสวี่ยซงก็หนีไม่พ้น เขาเองก็ไม่อาจตัดใจยอมสละผลของการบำเพ็ญเพียรของตนได้เหมือนกัน
เสวี่ยซงเอามือไพล่หลังยืนหมุนไปหมุนมาบนแท่นข้ามภพอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็ตัดสินใจอย่างเด็ดขาด “ในเมื่อต้องปิดบังเรื่องนี้ ทั้งยังไม่อาจทำลายดวงวิญญาณของนางได้....”
อิ๋นซงตาโต “พี่ใหญ่มีคงจะแผนดี ๆ ล่ะสิ?”
เสวี่ยซงชายตามองอิ๋นซงทีหนึ่ง พูดช้า ๆ ว่า “เมื่อห้าปีก่อน ข้าบังเอิญได้ยาเม็ดสะกดวิญญาณซึ่งเป็นตำรับลับของสุดแดนบูรพามาเม็ดหนึ่ง ในบรรดาภพเซียนทั้งสี่ มีเพียงแดนสุดบูรพาที่แยกอยู่ห่างไกลจากแดนทั้งสามที่สุดที่ไม่ค่อยไปมาหาสู่กัน ยาสะกดวิญญาณนี้ยิ่งเป็นของวิเศษสุดลี้ลับของแดนสุดบูรพา คนที่รู้จักยานี้ยิ่งมีไม่มาก ป้อนยานี้ให้นางกินลงไป ไม่เพียงจะช่วยสะกดวิญญาณของหลงปิงอวี้ไว้ ทั้งยังสามารถสะกดอิทธิฤทธิ์ของหลงปิงอวี้ที่อยู่ในร่างนางไว้ได้ด้วย นางผ่านสะพานข้ามภพได้รับการชะล้างไขกระดูกจากพลังของภพเซียน จึงได้เปลี่ยนสภาพจากมนุษย์ธรรมดากลายเป็นร่างเซียน เมื่อเจ้ากับข้าไม่พูด นางก็จะเป็นได้แค่เพียงเซียนสามัญธรรมดา ๆ ที่วาสนานำพาโดยบังเอิญจึงได้เลื่อนขั้นกลายเป็นเซียนเท่านั้นเอง”
อิ๋นซงคิดไปคิดมา ก็คิดหาวิธีที่ดีกว่านี้ไม่ออก จึงถอนใจเฮือกหนึ่งแสดงอาการว่าเห็นด้วย
เสวี่ยซงรีบรีบป้อนยาเม็ดสะกดวิญญาณให้แก่ถังเหมี่ยวทันที
เมื่อทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย อิ๋นซงก็จับพู่กันหยกเขียวเขียนแสดงสถานะของถังเหมี่ยวลงไปในหยกขาวก้อนหนึ่ง จากนั้นก็เอาก้อนหยกขาวใส่ไปในอุ้งมือของเธอ เห็นเพียงแสงสีขาวแวบเดียว หยกขาวก้อนนั้นก็หายวับไป
เสวี่ยซงที่ยืนดูอยู่ด้านข้าง นัยน์ตาปรากฏแววครุ่นคิดขึ้นแวบหนึ่ง รีบพูดขึ้นทันทีว่า “ในภพเซียนนี้มีเซียนประหลาด ๆ มากมายประดุจเม็ดทรายในธารช้างเผือก ไม่อาจรับรองได้ว่าอาจจะมีใครสามารถดูออกเรื่องที่นางถูกยาสะกดวิญญาณสะกดอิทธิฤทธิ์เอาไว้ ไม่สู้ส่งนางไปยังแดนร้างตงฮวงเถอะ”
“แดนร้างตงฮวงก็ดีเลย! พี่ใหญ่...แผนนี้เยี่ยม ไม่มีอิทธิฤทธิ์คุ้มครองกาย นางอยู่ที่แดนร้างตงฮวงจะอยู่ได้กี่วัน ก็ต้องอาศัยโชคของตัวเองแล้วล่ะ” อิ๋นซงหัวร่อเอิ๊กอ๊าก รับข้อเสนอ
เสวี่ยซงรีบเรียกเมฆมาก้อนหนึ่ง เสกคาถากำกับ ให้พาถังเหมี่ยวบินมุ่งหน้าไปสู่เขตแดนร้างตงฮวงทางตอนเหนือ
ส่งตัวปัญหาใหญ่จากไปแล้ว ทั้งสองค่อยถอนหายใจอย่างโล่งอกพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
เสียงม้าร้องดังก้องมาจากทางทิศตะวันตก ทำให้นกกระเรียนขาวและเมฆหลากสีที่อยู่บนท้องฟ้าแตกตื่นเตลิดไปทั่วทุกทิศทาง แล้วรถม้ามีกระโจมหรูวิจิตรห้อมล้อมด้วยทหารกองหนึ่งก็ปรากฏขึ้นเหนือท้องฟ้าหน้าตำหนักชักนำเซียน
ที่เทียมรถคือม้ามังกรขาวที่ขาวราวเงินยวงคู่หนึ่ง ม้าพ่นควันออกจากจมูก หุบปีกสีขาวสะอาดเหมือนหิมะแล้วหยุดอยู่ตรงหน้าตำหนักชักนำเซียน ม่านกระโจมสีเงินส่องแสงพร่างพราวถูกม้วนเปิดออก ในกระโจมรถม้ามีชายหนุ่มสวมชุดแพรผู้หนึ่งนั่งเอียง ๆ ด้วยท่าทางดูเหนื่อยหน่ายอยู่บนเก้าอี้พิงหมอนแพรปักลายสวยวิจิตรตระการตา มือท้าวคางด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มไม่คล้ายยิ้ม จ้องมองสองเซียนเฒ่าที่ยืนอยู่บนพลับพลารับเซียน
จอมมารน้อยตัวนี้ทำไมวิ่งมาถึงนี่ล่ะ? อิ๋นซงกับเสวี่ยซงสะดุ้งเฮือก แอบแสดงความยินดีกับตัวเองที่ได้ส่งถังเหมี่ยวไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทั้งคู่ยิ้มแหย ๆ พลางเดินออกมาจากพลับพลาขึ้นขี่เฆฆ ลอยมาที่หน้ารถม้า ทำความเคารพแล้วกล่าวว่า “ท่านดาวเทพมู่หลีเสด็จมาถึงตำหนักชักนำเซียน มิทราบมีสิ่งใดจะบัญชา?”
มือของมู่หลีตบเบา ๆ อยู่บนหัวเข่า พูดอย่างไม่สนใจนักว่า “ได้ยินว่าหลงปิงอวี้คนนั้นวันนี้จะเป็นเซียนเหาะขึ้นสวรรค์มา องค์มหาเทพมีบัญชาให้เจ้าทั้งสองคอยเปิดประตูสวรรค์รับนางขึ้นสะพานข้ามภพ กับหญิงงามที่ทำให้ซีอวี๋ฮ่าวรำลึกอยู่มิรู้ลืมนี้ทำให้ตัวข้ารู้สึกแปลกใจยิ่งนัก จึงมาดูนางเป็นพิเศษ”
ดาวเทพมู่หลีเป็นโอรสของขนิษฐาของมหาเทพแดนอุดร องค์เป่ยตี้โปรดปรานมู่หลีเป็นที่สุด อายุยังน้อย ๆ ก็ได้รับการสถาปนาให้เป็นดาวเทพ ทั้งยังพระราชทานตำแหน่งเจ้าครองนครจรจรัสให้อีกด้วย ดาวเทพมู่หลีโปรดความหรูหรา พระองค์จึงประทานม้ามังกรขาวที่เป็นม้าทรงเฉพาะขององค์มหาเทพให้คู่หนึ่ง องค์เป่ยตี้ไร้พระโอรส ร่ำลือกันว่าทรงมีพระประสงค์จะสืบทอดบัลลังก์ให้กับมู่หลี แม้กระทั่งเหล่าเซียนเทพในสวรรค์เก้าชั้นฟ้าแดนอุดรก็ยังต้องยอมอ่อนข้อให้เขาสามส่วน
เพื่อเทพธิดาที่คุมพลังน้ำเล็ก ๆ นางหนึ่ง ซีหวีฮ่าวถึงกับปฏิเสธที่จะอภิเษกกับองค์หญิง ทำให้องค์หญิงใหญ่แดนอุดรต้องอับอายขายหน้า จึงเสด็จหนีจากนครเกล็ดน้ำค้างไปเร้นกายอยู่ที่หุบเขาหิมะหยกเพียงลำพัง ดาวเทพมู่หลีกับองค์หญิงใหญ่แดนอุดรเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เยาวัย มีน้ำใจไมตรีต่อกันลึกซึ้ง ตอนที่ซีหวีฮ่าวคุมทัพมาตั้งที่ริมฝั่งตะวันตกของธารช้างเผือก มู่หลีซึ่งสะกดกลั้นความโกรธเอาไว้ได้ขอพระราชโองการขอเป็นทัพหน้า คิดไม่ถึงว่าจะถูกสองมหาเทพกับซีหนีหย่าศึก ความโกรธอัดอั้นอยู่ในใจของมู่หลีจนสุดจะทนทาน เลยคิดจะถือโอกาสนี้หาเรื่องหลงปิงอวี้ที่เพิ่งจะกลับมาแดนเซียน
เสวี่ยซงแอบชำเลืองมองดาวเทพมู่หลี
แม้ว่าใบหน้าจะเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม แต่แววตากลับเยียบยะเยียบดุจดาวขั้วโลกเหนือ ริมฝีปากบางเม้มเล็กน้อยฉายแววเกลียดชังอยู่รำไร
เสวี่ยซงพิจารณาความคิดของดาวเทพมู่หลีอย่างละเอียด รู้ว่าเขามีความรู้สึกไม่ดีกับหลงปิงอวี้ ก็ใจชื้นขึ้นมาหน่อยหนึ่ง เลยปั้นหน้าเจื่อน ๆ กล่าวว่า “ผู้น้อยกำลังจะไปทูลถวายรายงานต่อองค์มหาเทพทั้งสองแดนว่า เทพธิดาคุมพลังน้ำหลงปิงอวี้นั้นชะตาชีวิตไร้วาสนากับแดนเซียน แม้แต่สะพานข้ามภพนางก็ยังไม่อาจขึ้นมาได้ วิญญาณของนางจึงแตกซ่านสลายกลายเป็นภัสมธุลีไปแล้ว”
“อะไรนะ?!” มู่หลีตกใจจนนั่งตัวตรงขึ้นมา สีหน้าเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็หัวเราะออกมาอย่างคลุ้มคลั่ง
“ดี.. ดี... ดี... สู้ทนยอมให้หลงปิงอวี้นั่นหลงเพ้อเจ้อ ที่สุดก็หนีไม่พ้นฟ้าลงทัณฑ์! ตัวข้าจะป่าวประกาศข่าวนี้ออกไปให้ทั่ว ให้ซีหวีฮ่าวกระอักเลือดสามเซิง[1] แก้แค้นแทนพี่นางของข้า! ไปหุบเขาหิมะหยก!”
รถทรงของดาวเทพมู่หลีมาอย่างเร็ว ขาไปยิ่งเร็วกว่า อิ๋นซงกับเสวี่ยซงปาดเหงื่อที่ไหลพลั่ก ๆ ในที่สุดก็วางใจได้เสียที
ดูจากรูปการณ์ หากมู่หลีรู้ว่าหลงปิงอวี้ยังคงมีเศษเสี้ยววิญญาณเหลืออยู่ จะต้องลงมือฆ่านางอย่างโหดเหี้ยมแน่ เสวี่ยซงพูดกับตัวเอง “ส่งนังหนูนั่นไป พวกเรายังนับว่าได้สร้างสมบุญกุศลหน่อยหนึ่ง”
อิ๋นซงกลับบอกว่า “หากรู้แต่แรกว่าดาวเทพมู่หลีชิงชังนางแบบนี้ มิสู้ส่งนางออกมา จะเป็นหรือตายก็แล้วแต่ดาวเทพจะจัดการ มีท่านดาวเทพช่วยขอความเมตตาให้ ไม่แน่ว่าสองมหาเทพอาจจะยกโทษให้พวกเราก็ได้”
เสวี่ยซงโดดขึ้นมายื่นมือเขกอิ๋นซงไปหนึ่งที “ผิด! อย่างไรเสียในร่างนางก็มีวิญญาณเศษเสี้ยวสุดท้ายของหลงปิงอวี้ หากให้ดาวเทพมู่หลีฆ่านาง ซีหวีฮ่าวจะยอมเลิกราโดยดีหรือ? หรือหากดาวเทพมู่หลีรู้ว่าพวกเราปกปิด คงต้องกลับมาแก้แค้นอีก เก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับถือว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุด!”
อิ๋นซงค่อยตื่นจากภวังค์ หากเอาใจให้มู่หลีชื่นชอบ ก็ต้องล่วงเกินรัชทายาทแดนปัจฉิม ปิดบังหลอกลวงดาวเทพมู่หลี วันหลังเมื่อเขารู้ความจริงก็ต้องแก้แค้นแน่นอน ช่างลำบากทั้งขึ้นทั้งล่องจริง ๆ ยังดีที่นังหนูคนนั้นถูกพวกเขาส่งไปแดนร้างตงฮวง
ในเมื่อสมใจแล้วอย่างนี้ อิ๋นซงก็แอบยิ้ม พูดว่า “ผู้น้องเชื่อพี่ใหญ่แล้วกัน นังหนูคนนั้นถูกสะกดอิทธิฤทธิ์ไว้ ต่อให้มาถึงแดนเซียนกลายเป็นร่างเซียนแล้ว ก็คงมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน ผู้น้องเพียงหวังว่านางจะดับสลายโดยเร็ว จะได้ขจัดภัยในภายหน้า”
เสวี่ยซงรู้สึกวุ่นวายสับสนในใจ เขามองไปทางทิศของแดนร้างตงฮวงด้วยสายตาลุ่มลึกไร้จุดหมาย ลูบหน้าผากมันแผล็บของตัวเอง พึมพำเบา ๆ “ก็ต้อง...แล้วแต่โชคแล้ว!”