สวรรค์ลิขิตรัก ตอนที่ 1
บทนำ
ก่อเกิดวาสนา
ภพเซียนแบ่งออกเป็นสี่แดน คือสุดแดนบูรพา, ขอบสมุทรทักษิณ,แดนปัจฉิม และแดนอุดร สี่แดนปกครองโดยเทพบดีตงจี๋ เทพบดีหนานหยาไห่ มหาเทพซีตี้ และมหาเทพเป่ยตี้
ระหว่างแดนปัจฉิมและแดนอุดรกั้นกลางด้วยธารช้างเผือก กว้างแปดร้อยหลี่ [1]
ช่วงที่หนาวที่สุดผ่านพ้นไป อากาศในฤดูใบไม้ผลิเย็นยะเยือก ธารช้างเผือกแปดร้อยลี้ถูกแสงตะวันอาบไล้กลับกลายเป็นสายหมอก ลมแม่น้ำพัดผ่าน พาให้สายหมอกที่ปกคลุมผืนน้ำอยู่พลิ้วเป็นระลอก
ริมฝั่งธารช้างเผือกด้านตะวันตกมีเรือรบเมฆาจอดอยู่เป็นทิวแถว มองไปไม่เห็นหัวขบวน ต้นเหล็กที่เอามาทำเป็นเรือเมฆาส่งประกายสีเขียว ธงสีดำบนเสาธงที่หัวเรือโบกสะบัด ตราสัญญลักษณ์ประจำราชวงศ์แดนปัจฉิมที่เป็นรูปเจ้าราชสีห์ซวนหนี[2]แยกเขี้ยวกางเล็บราวกับมีชีวิต เสริมให้บรรยากาศในสมรภูมิดุเดือดรุนแรง บรรดาทหารในชุดเกราะของแดนปัจฉิมหยุดอยู่กับที่อย่างเงียบเชียบ เกราะสีเงินสะท้อนแสงเสียดแทงนัยน์ตา เปี่ยมด้วยบรรยากาศของการฆ่าฟันอย่างน่าเกรงขาม
ดูจากสภาพการณ์ฝ่ายแดนปัจฉิมตระเตรียมกองทัพมาเป็นอย่างดี
ลมพัดหมอกที่คลุมผิวแม่น้ำอยู่เปิดออก เผยให้เห็นเรือลำหนึ่งซึ่งมีคนผู้หนึ่งยืนอยู่ ที่เอวคาดสายรัดทำจากทองคำขาวฝังแก้วผลึกสีฟ้า ศีรษะเสียบปิ่นหยกขาวรูปจันทร์เสี้ยว นี่คือการแต่งกายของเซียนเทพระดับสามในราชสำนักแดนอุดร
เรือเมื่อห่างจากริมฝั่งสามหลี่ก็หยุดลง ราชทูตจากแดนอุดรแม้จะเห็นกองทัพเรือเมฆาที่ทรงพลานุภาพตรงหน้าก็ไม่มีทีท่าหวั่นเกรงแม้แต่น้อย รวบรวมพลัง เอ่ยปากเสียงดังกังวาน
“ข้าพเจ้า เป็นราชทูตจากนครเกล็ดน้ำค้างแห่งแดนอุดร ถือรับสั่งแห่งองค์มหาเทพขอเข้าพบรัชทายาทแดนปัจฉิม!”
เสียงนั้นดังชัดเจนไปจนถึงเรือรบที่อยู่ตรงกลางลำหนึ่ง รัชทายาทแดนปัจฉิมซีอวี๋ฮ่าวก้าวยาว ๆ ออกมาที่กราบเรือ ยืนเอามือไพล่หลัง เขาสวมเสื้อคลุมตัวหลวมกว้าง แขนเสื้อปลิวสะบัด ไม่สวมเกราะ ไม่สะพายดาบกระบี่ ดูไปแล้วราวกับคุณชายคนหนึ่งที่กำลังชื่นชมกับทิวทัศน์ของแม่น้ำอย่างสบายใจ เมื่อรัชทายาทปรากฎตัวขึ้น ริมฝั่งน้ำด้านตะวันตกอันเป็นที่ตั้งกองทัพจำนวนมหาศาลก็ดูราวกับหายไปในทันที ได้ยินเพียงเสียงธงผืนใหญ่ที่โดนลมพัดโบกสะบัดอยู่เหนือแม่น้ำ
เรือที่ราชทูตยืนอยู่พลันสั่นสะเทือน ทำเอาผู้เป็นทูตสะดุ้งตกใจ หวาดหวั่นพรั่นพรึงกับอิทธิฤทธิ์ที่ซีอวี๋ฮ่าวสำแดงออกมา ราชทูตต้องใช้พลังอิทธิฤทธิ์ทั้งหมดที่มีเพื่อต่อต้านกับลงมือเงียบ ๆ ครั้งนี้ เหงื่อค่อย ๆ ไหลซึมจากหน้าผากจนเปียกชุ่ม ฝืนยันเอาไว้อย่างยากลำบากได้ชั่วครู่ ก็มีเสียงเรือลั่นเปรี๊ยะคราหนึ่งจนเกิดเป็นร่องแตกเล็ก ๆ
ราชทูตไม่แค่ตกใจ แม้กระทั่งท่าทีเคร่งขรึมน่าเกรงขามของราชทูตแห่งแดนอุดรก็รักษาไว้ไม่อยู่แล้ว คราวนี้รีบตะโกนเสียงดัง “ผู้น้อย ผู้ดูแลสำนักฝ่ายนอกแห่งนครเกล็ดน้ำค้างแดนอุดร ขอเข้าเฝ้าองค์รัชทายาท!”
ครั้งแรกบอกว่าราชทูตขอเข้าพบ ครั้งที่สองกลายเป็นผู้น้อยขอเข้าเฝ้า สถานการณ์ตอนนี้เห็นชัดว่าตกเป็นเบี้ยล่าง
การจู่โจมอย่างเงียบ ๆ พลันสลายไป ราชทูตถึงกับปาดเหงื่อค่อยโล่งอกไปที หลังจากเฝ้ารออย่างกระสับกระส่ายอยู่ครู่หนึ่ง จึงได้ยินเสียงเย็นยะเยียบ “นำความไปทูลมหาเทพแดนอุดร หากจะทำลายจิตวิญญาณของนางที่แท่นประหารเซียน เราจะข้ามแม่น้ำไปแดนอุดร แก้แค้นให้แก่นาง”
เมื่อกล่าววาจาจบ เหล่าทหารแดนปัจฉิมที่จงรักภักดีต่อซีอวี๋ฮ่าวก็พากันเปล่งเสียงสนั่นหวั่นไหว “ยินดีติดตามองค์ชายไปบุกแดนอุดร!”
เมื่อเสียงในเรือลำหนึ่งดังขึ้น ทั่วทั้งสี่ทิศก็มีเสียงตอบรับดังมาระลอกแล้วระลอกเล่าจนน้ำในแม่น้ำสะท้านสะเทือน
ราชทูตแดนอุดรร้อนใจ รีบตะโกนว่า “ภพเซียนไม่เคยเกิดสงครามมาหมื่นปีแล้ว หรือว่าเพื่อเทพธิดาเล็ก ๆ ที่ดูแลน้ำนางหนึ่ง องค์รัชทายาทถึงกับต้องทำลายความสุขสงบของภพเซียน? ขอรัชทายาทโปรดพิจารณาด้วย!”
รังสีอำมหิตแผ่ซ่านจากร่างของซีอวี๋ฮ่าว พลันตวาดเสียงดัง
"ตัวข้าเป็นถึงรัชทายาทแดนปัจฉิม กระทั่งหญิงที่ตนรักยังปกป้องไม่ได้ เราจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน? เหอะ ๆ เทพธิดาเล็ก ๆ ที่ดูแลน้ำ เพื่อนางเรายกทัพมาแล้วจะทำไม?”
"รัชทายาทโปรดระงับโทสะ!” เซียนเทพเสวียนหลิงที่ได้ทราบข่าวแล้วรีบเดินทางมายังริมฝั่งด้านตะวันตกของธารช้างเผือกลอบร้องย่ำแย่ในใจ ไม่คำนึงถึงอะไรก็รีบไปขวางหน้าซีอวี๋ฮ่าวเอาไว้ “รัชทายาทยกทัพบุกแดนอุดร แดนอุดรต้องไม่ยอมยกโทษให้เทพธิดาที่ดูแลน้ำแน่ องค์ชายยามมีโทสะ กลับจะยิ่งสร้างความลำบากทำให้นางถูกสลายวิญญาณแทน....แม่นางปิงอวี้ช่างไร้ซึ่งความผิด! องค์ชายจะเหี้ยมโหดได้ถึงปานนั้น?”
ราวกับโดนกระบองทุบศีรษะ ซีอวี๋ฮ่าวถึงกับตะลึงจนนิ่งอยู่กับที่
มหาเทพแดนอุดรกับมหาเทพแดนปัจฉิมหารือตกลงกันเพื่อจะวิวาห์เชื่อมความสัมพันธ์สองแดน รัชทายาทซีอวี๋ฮ่าวขณะที่นำคณะเดินทางข้ามธารช้างเผือกมุ่งหน้าแดนอุดร กลับได้พบกับเทพธิดาผู้เป็นหัวหน้ามีหน้าที่ดูแลธารช้างเผือกของแดนอุดร...หลงปิงอวี้....ที่กลางแม่น้ำ และตกหลุมรักนางในทันที
สีหน้าของซีอวี๋ฮ่าวหม่นหมอง ถ้าหากไม่ใช่เพราะรักนาง ถึงกับปฏิเสธการแต่งงานกับองค์หญิงจีอิ๋งที่ตำหนักเซียนกลางนครเกล็ดน้ำค้าง ท่ามกลางเหล่าเซียนเทพมากมาย มหาเทพเป่ยตี้คงจะไม่พันธนาการหลงปิงอวี้ไว้บนแท่นประหารเซียน
ปิงอวี้ เป็นข้าทำร้ายเจ้า....
นางเป็นแค่เซียนเล็ก ๆ ถึงกับทำให้มหาเทพองค์หนึ่งพิโรธขึ้นมา?
ซีอวี๋ฮ่าวกำหมัดทั้งสองแน่น ค่อย ๆ ผ่อนลมหายใจ น้ำเสียงอ่อนลง “เจ้าไปส่งทูตแดนอุดรคนนั้นซะ ตัวข้า...จะรอสิบวัน”
เซียนเทพเสวียนหลิงยินดีอย่างยิ่ง รีบขี่เมฆเหาะจากเรือรบไปเจรจากับทูตแดนอุดรคนนั้นด้วยตนเอง
ณ ที่คุมขัง ....นครเกล็ดน้ำค้าง
แสงจากตะเกียงดวงหนึ่งสาดส่องห้องขังที่ไม่ใหญ่นัก หลงปิงอวี้ยืนอยู่ที่มุมหนึ่งของห้อง แสงสลัวเลือนรางส่องต้องใบหน้านาง รูปร่างหน้าตานางประหนึ่งมุกน้ำงามที่ผ่านการคัดสรร งามล้ำจนคนต้องอิจฉา
ที่ด้านหลังของนางมีเสียงทอดถอนใจดังมา หลงปิงอวี้หันกลับไป ยิ้มจนเห็นฟันเป็นประกาย “องค์หญิง ท่านเกลียดข้า ใช่ไหม?”
องค์หญิงจีอิ๋งที่เป็นเจ้าของเสียงทอดถอนใจนั้นยืนอยู่ตรงประตู นิ่งเงียบอยู่เป็นนานจึงเอ่ยปากช้า ๆ “เพื่อปกป้องชีวิตของเจ้าแล้วซีอวี๋ฮ่าวถึงกับตั้งกองทัพกดดันอยู่ที่ธารช้างเผือก หลงปิงอวี้ นับว่าคู่ควรกับการที่เจ้าทุ่มเทใจให้เขา”
“เพื่อข้าเขากล้าตั้งทัพที่ธารช้างเผือก.....” หลงปิงอวี้ตัวสั่นน้อย ๆ แล้วก็แหงนหน้าหัวเราะเสียงดัง “ศิษย์พี่ ในที่สุดก็มีของอย่างหนึ่งข้าสามารถคว้าได้ แต่ท่านกลับไม่อาจเอื้อมถึง”
จีอิ๋งสงบนิ่งราวกับสายน้ำ “เจ้าคงภูมิใจมากที่สามารถแย่งว่าที่สามีในอนาคตของข้าได้ ใช่ไหม? เจ้าถึงกับรู้ว่าเขาคือคนที่ข้าอยากได้เลยหรือ?
“แล้วเขาไม่ใช่คนที่ท่านอยากได้หรือไร?.....ข้าคือผู้ที่ถือกำเนิดจากแก่นครรภ์ฤทธาของธารช้างเผือก เป็นจ้าวธาตุน้ำตามหลักธาตุทั้งห้าตั้งแต่เกิด อิทธิฤทธิ์ของข้าไม่ด้อยไปกว่าท่าน เนื่องจากท่านเป็นองค์หญิง ท่านไม่อยากให้ข้าแย่งชิงความเด่นไปจากท่าน ดังนั้นจึงขอให้มหาเทพแต่งตั้งข้าเป็นเทพธิดาคุมน้ำเล็ก ๆ นางหนึ่ง ทำให้ข้าถูกลดชั้นให้ไปอยู่ไกลแสนไกลจากนครเกล็ดน้ำค้าง ให้ข้าต้องอยู่อย่างแห้งแล้งเดียวดายในธารช้างเผือกไปตลอดทั้งชาติ เพราะท่านเป็นองค์หญิง อาจารย์จึงได้ปฏิบัติต่อท่านอย่างอ่อนโยนด้วยสีหน้าปลาบปลื้ม เซียนเทพของแดนอุดรล้วนเคารพนอบน้อมท่านตลอดเวลา ตำแหน่งชายาในรัชทายาทแดนปัจฉิมท่านก็ได้มาอย่างแสนง่ายดาย! “ หลงปิงอวี้พึมพำไปเรื่อย แต่แววตานั้นกลับทอประกายคลุ้มคลั่งขึ้นมากระทันหัน “ในที่สุดข้าก็ชนะเจ้าแล้ว! เขาถึงกลับกล้าตั้งทัพที่ธารช้างเผือกเพื่อช่วยข้า! เขารักข้า!”
“เจ้าคิดผิดแล้ว อาจารย์เคยบอกไว้ว่า เจ้าไม่อาจระงับใจให้สงบเพื่อฝึกจิต การไปอยู่ที่ธารช้างเผือกกลับจะช่วยส่งเสริมการบำเพ็ญเพียรของเจ้า ดังนั้นข้าจึงขอรอ้งเสด็จพ่อให้แต่งตั้งเจ้าเป็นเทพธิดาคุมน้ำ” จีอิ๋งมองนางด้วยความเสียใจ พลางทอดถอนใจ
“เห็นแก่ที่เราเป็นศิษย์ร่วมสำนัก ข้าจะบอกเจ้าถึงผลการตัดสินของราชสำนัก เสด็จพ่อจะไม่ประหารเจ้า แต่จะลดชั้นเจ้าให้ลงไปเกิดในโลกมนุษย์สิบชาติ หลังจากครบสิบชาติแล้ว หากเจ้าสามารถผ่านพ้นมหันตเคราะห์กลับสู่แดนเซียนได้อีก ก็จะอนุญาตให้เจ้าแต่งกับซีอวี๋ฮ่าวไปเป็นสนมที่แดนปัจฉิม เพื่อเจ้าแล้ว ซีอวี๋ฮ่าวต้องยอมอภิเษกกับข้าให้ข้าได้เป็นพระชายาเอกรัชทายาท ตำแหน่งพระชายารัชทายาทนี้ไม่ว่าเจ้าทำอย่างไรก็ไม่อาจจะได้มันมาหรอก”
หลงปิงอวี้หยุดหัวเราะ พูดเน้นทีละคำว่า “ข้าจะได้หวนกลับมายังภพเซียนแน่นอน เจ้าก็คอยเป็นพระชายารัชทายาทที่มีแต่ตำแหน่งจอมปลอมนั่นเถอะ! ข้าจะทำให้เจ้าต้องทนดูไปจนตลอดชีวิต ว่าข้ากับเขารักกันหวานชื่นแค่ไหน”
“เจ้ารักเขาด้วยใจจริงหรือเปล่า? เจ้าแค่คิดอยากจะอวดศักดาต่อหน้าข้า หรือว่าอยากจะให้เขามอบชีวิตที่สดใสเจริญรุ่งเรืองให้แก่เจ้ากันแน่? สักวันหนึ่ง เขาจะต้องเห็นหน้าตาที่แท้จริงของเจ้าอย่างชัดเจน” จีอิ๋งพูดจาถากถางจบก็หันกายจากไป
หลงปิงอวี้ที่อยู่ในห้องขังใบหน้าเนืองนองไปด้วยน้ำตา สองขาไร้เรี่ยวแรง ทรุดลงกับพื้น “จีอิ๋ง เจ้าผิดแล้ว ไม่ว่าความมุ่งมาดปรารถนาในตอนแรกของข้าจะเป็นเช่นไร แต่ตอนนี้กลับรักเขาเข้าแล้วอย่างแท้จริง”
เมื่อคิดถึงเรื่องที่ต้องลงไปเกิดในโลกมนุษย์สิบชาติ ในใจของหลงปิงอวี้ก็เกิดความหวาดกลัวไม่หยุด ทันใดนั้นก็กระโดดขึ้นมาถลาไปที่ประตูตะโกนอย่างคลุ้มคลั่ง “เขารักข้าเพียงคนเดียว! ไม่มีใครแย่งเขาไปจากข้าได้ เขาไม่มีทางรักเจ้า! ต่อให้เจ้าเป็นองค์หญิง เขาก็ไม่มีวันรักเจ้า! ข้าจะต้องผ่านพ้นมหันตภัยกลับมาได้ ต่อให้เหลือสภาพแค่เศษเสี้ยวของวิญญาณ ข้าก็จะกลับมายังภพเซียนให้จงได้!”
จีอิ๋งชะงักเท้าลงหลังจากเดินมาถึงมุมกำแพง ผ้าโปร่งคลุมหน้าของนางสั่นไหวน้อย ๆ เห็นได้ชัดว่าสะเทือนใจถึงที่สุด นางอาศัยกำแพงพยุงตัวไว้ ลำคอหวานวูบ กระอักโลหิตออกมาคำหนึ่ง
มือข้างหนึ่งยื่นมาประคองนางเอาไว้
จีอิ๋งเงยหน้าขึ้น นัยน์ตาคู่สวยเอ่อคลอไปด้วยน้ำตา หอบหายใจเบา ๆ กล่าวว่า “มู่หลี อย่าได้กราบทูลเสด็จพ่อ ส่งข้ากลับหุบเขาหิมะหยก ปล่อย...ปล่อยนางไปเถอะ!”
เปลวไฟสองกลุ่มลุกเรืองโชติช่วงอยู่ในดวงตาของดาวเทพมู่หลี ใบหน้างดงามหล่อเหลาบิดเบี้ยวด้วยความแค้นใจ มู่หลีพยุงจีอิ๋งพลางเอ่ยด้วยเสียงเคียดแค้น “พี่นาง หรือว่าต้องทนให้นางผ่านคราเคราะห์หวนคืนสู่สวรรค์ไปอยู่ร่วมกับซีอวี๋ฮ่าว? ในเมื่อซีอวี๋ฮ่าวมาตั้งทัพกดดันที่ธารช้างเผือก มู่หลีก็ยินดีเป็นทัพหน้าของแดนอุดร”
“ซีอวี๋ฮ่าวทรยศข้า เหยียดหยามข้า ข้าขอเอาคืนด้วยมือข้าเอง แต่หากเป็นเพราะข้าเพียงคนเดียวถึงกับทำให้ทั้งภพเซียนต้องวุ่นวาย จีอิ๋งมิอาจกระทำเช่นนั้นได้หรอก” จีอิ๋งกล่าวอย่างเนิบเนือย
มู่หลีร้อนใจยิ่ง “ข้าได้ยินหมดแล้ว หรือว่าพี่นางจะให้ข้าต้องดูท่านนั่งครองตำแหน่งชายารัชทายาทที่ว่างเปล่า ให้ท่านต้องทนเห็นเขาเอาอกเอาใจนางแพศยานั่นคนเดียว แล้วมาเหยียดหยามท่านอย่างนั้นหรือ?”
จีอิ๋งสั่นเทิ้มไปทั้งกาย น้ำตาสองสายไหลริน “หากจีอิ๋งเพียงคนเดียวสามารถปกป้องสองแดนให้เกิดความสงบได้ จีอิ๋งก็ยินดี ก็แค่เปลี่ยนสถานที่บำเพ็ญเพียรก็เท่านั้น!” นางถอนหายใจยาว “อย่าสร้างปัญหาอีกเลย ส่งข้ากลับไปที่หุบเขาหิมะหยกเถอะ”
มู่หลีโกรธจัด จ้องมองไปทางห้องขังพลางขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “หลงปิงอวี้ ข้าขอสาปแช่งเจ้า เมื่อยามที่เจ้าต้องผ่านคราเคราะห์ ขอให้โดนอสนีบาตผ่าร่าง วิญญาณซ่านสลาย กลายเป็นภัสมธุลี!”
..............................................
ชีวิตของถังเหมี่ยวก็เหมือนกับคนทั่วไปอีกนับไม่ถ้วน มีชีวิตที่แสนธรรมดา เรียบง่าย มีความสุข
เธอเป็นคนขาดธาตุน้ำ ดังนั้นที่บ้านจึงตั้งชื่อเธอด้วยตัวอักษร “เหมี่ยว”淼 (เป็นคำว่าน้ำสามคำมารวมกัน) หมอดูยังทำนายเอาไว้ว่า ตอนที่ถังเหมี่ยวอายุยี่สิบเอ็ดจะมีเคราะห์ร้าย มีแต่ต้องได้ประสบกับคนที่เป็นจ้าวธาตุน้ำเท่านั้น จึงจะสามารถพลิกจากร้ายกลายเป็นดีได้
แต่ว่า คำพูดของหมอดูเมื่อฟังแล้วก็แล้วไป ใครจะกล้าเชื่อถือจริงจังล่ะ?
ปิดเทอมช่วงหน้าร้อนตอนเรียนมหาวิทยาลัยปีสาม วันที่ถังเหมี่ยวมีอายุครบยี่สิบเอ็ดปี ได้นัดกันกับเพื่อนนักศึกษา ไปเที่ยวเขาเอ๋อเหมยเพื่อดูพระอาทิตย์ขึ้น
คนที่คุ้นเคยกับเขาเอ๋อเหมยซานจะรู้ดีว่า บนยอดจินหลิ่งของเขาเอ๋อเหมยมีทิวทัศน์สุดยอดสามอย่างคือ ทะเลเมฆ พระอาทิตย์แรกขึ้น และแสงฉัพพรรณรังสี เพื่อจะไปดูพระอาทิตย์ขึ้น ตอนตีสามครึ่งถังเหมี่ยวกับกลุ่มเพื่อนก็นั่งรถเคเบิ้ลคาร์ ขึ้นไปจนถึงยอดเขา ตอนไปถึงยอดเขาดูนาฬิกาก็เพิ่งตีสี่ครึ่ง ถังเหมี่ยวนั่งพิงเสาของราวกั้นขอบหน้าผางีบหลับ เธอกำลังสะลึมสะลืออยู่ก็ได้ยินเสียงโห่ร้องด้วยความดีใจอยู่ข้าง ๆ ตัวทำเอาเธอสะดุ้งตื่น พอลืมตาก็เห็นแสงฉัพพรรณรังสีปรากฎอยู่เหนือทะเลเมฆ
แสงฉัพพรรณรังสีเหนือเขาเอ๋อเหมยไม่ได้ปรากฏมานานหลายปีแล้ว ถังเหมี่ยวเป็นชาวเสฉวน เคยมาที่เอ๋อเหมยนับครั้งไม่ถ้วนก็เพิ่งได้เคยเห็นเป็นครั้งแรกเหมือนกัน เธอจ้องมองแสงนั้นอย่างตื่นตาตื่นใจเลยไม่ทันได้ระวังว่าตัวเองกำลังนั่งพิงเสารั้วกั้นขอบผาอยู่
ฉับพลันนั้น บนยอดจินหลิ่งก็เหมือนกับน้ำเดือดพล่าน บรรดานักท่องเที่ยวที่แสนจะตื่นเต้นเหมือนกับไอน้ำที่พุ่งออกมาจากหม้อน้ำ แห่กันเบียดเสียดกันไปที่ริมหน้าผาอย่างไม่คิดชีวิตเพื่อจะถ่ายรูป คนมากเหลือเกิน ถังเหมี่ยวที่นั่งพิงเสารั้วอยู่พยายามอยู่หลายครั้งที่จะลุกขึ้นแต่ก็โดนคนเบียดเข้ามาจนลุกไม่สำเร็จ
ทันใดนั้นเธอก็โดนเบียดจนตัวทะลุเลยเสารั้วที่เปราะจนกรอบนั้นออกไป ขณะที่เธอคว้าราวกั้นรีบทรงตัวขึ้น ช่างโชคร้ายที่เธอดันมองลงไปด้านล่างของหน้าผาที่ลึกจนไม่เห็นก้นนั่นพอดี โรคกลัวความสูงของเธอก็เลยกำเริบขึ้นมา ถังเหมี่ยวก็เลยล้มหัวทิ่มลงไป
จริง ๆ แล้วราวกั้นนั่นยังอยู่ห่างจากริมขอบผาจริง ๆ อีกช่วงหนึ่ง แต่ว่าถังเหมี่ยวตอนที่ล้มหัวทิ่มลงไปนั่นดันกลิ้งหลุน ๆ ไปจนถึงขอบผาที่สูงลิบลิ่วนั่นแล้วก็ตกลงไป
ระหว่างที่ร่างกายกำลังร่วงลงไปนั่นเอง ไม่ทราบว่าเธอไปชนเข้ากับอะไร แรงกระแทกนั่นอัดกระแทกเข้าที่หน้าอก ถังเหมี่ยวถึงกับหายใจไม่ออก แม้แต่คำว่า “แม่....” ก็ยังตะโกนออกมาไม่ได้ แล้วเธอก็หมดสติไปอย่างสวยงาม
ชั่วพริบตานั้น แสงฉัพพรรณรังสีเหนือทะเลเมฆบนยอดจินหลิ่งกลับหม่นแสงลง จากนั้นก็หายลับไป
เพื่อน ๆ นักศึกษาของถังเหมี่ยวตกตะลึงจนทำอะไรไม่ถูก บรรดานักท่องเที่ยวทุกคนก็ตะลึงงัน เจ้าหน้าที่ตำรวจจากสถานีบนยอดเขารีบรุดมายังที่เกิดเหตุในทันที และรีบกันพวกนักท่องเที่ยวที่อยู่ตรงนั้นออกไป พร้อมทั้งรายงานเรื่องถังเหมี่ยวตกหน้าผาให้เบื้องบนรับทราบ
[1] หลี่ หน่วยวัดความยาวของจีน 1 หลี่ เท่ากับ 500 เมตร สำนวนจีนแต้จิ๋วออกเสียงว่า ลี้
[2] ซวนหนี สัตว์ในตำนานจีนกึ่งสิงห์กึ่งมังกร ตามตำนานกล่าวว่าเป็นลูกตัวหนึ่งในจำนวน 9 ตัวของมังกร ชอบเพลิงไฟ เผยแพร่เข้ามาในจีนพร้อมกับพุทธศาสนา ดังนั้นคนจึงเอาลวดลายซวนหนีมาประดับบนกระถางธูปเพื่อให้ซวนหนีได้กลิ่นควันไฟซึ่งเป็นของที่ซวนหนีชอบ