นางใน ตอนที่ 2
“อ้าว เฮ้ย....ตื่น ๆ ๆ ๆ นังหนูพวกนี้นี่ ตื่น ๆ ๆ… ตื่นได้แล้ว!” เสียงสารถีคนขับรถตะโกนปลุกเด็ก ๆ ให้ตื่น พร้อมกับใช้แส้ฟาดตัวรถเสียงดังโครมคราม ทำให้เด็ก ๆ ที่หลับอยู่ในรถสะดุ้งตื่นโดยพร้อมเพรียงกัน
ประตูรถเปิดออก สารถีคนขับยื่นหน้าใหญ่ ๆ เข้ามาบอกเด็ก ๆ เสียงดังลั่น
“ไปเร็ว ๆ อีนังหนูทั้งหลาย ไปล้างหน้าล้างตา อีกเดี๋ยวพอฟ้าสางเราจะเข้าเมืองหลวงกันแล้ว ! “ ว่าแล้วก็ผลุบหายออกไป
เด็ก ๆ พากันลงจากรถม้าอย่างอ้อยอิ่ง อากาศเดือนเก้าเริ่มเย็นแล้ว ลมที่พัดมาหอบเอาฝุ่นทรายเหลือง ๆ มาติดตามเสื้อผ้า ผมเผ้าของเด็ก ๆ จนกลายเป็นสีเหลืองมอ ๆ กันทุกคน เด็ก ๆ พากันไปล้างหน้าล้างตาที่จุดพักรถตามที่สารถีบอก ก่อนจะมารวมกันอยู่ใกล้ ๆ รถ ในสถานที่ที่ไม่รู้จักใครแบบนี้ มีเพียงคนจากหมู่บ้านเดียวกันเท่านั้นที่พอจะพูดคุยกันให้อุ่นใจได้ หลังจากร่วมเดินทางมาในรถม้าคันเดียวกันหลายวัน พวกเด็กหญิงที่หยุดร้องไห้ไปนานแล้ว เริ่มรู้จักคุ้นเคยกันพอที่คุยกันจุ๊ก ๆ จิ๊ก ๆ อยู่รอบๆ รถ บ้างก็แบ่งเสบียงอาหารที่มีมาให้กันและกัน
“อิงเอ๋อ กินหมั่นโถวกับข้าไหม?” เสียงเด็กหญิงวัยสิบสองถักผมเปียสองเส้นมัดด้วยด้ายสีแดงแจ๊ดถามขึ้น พร้อมกับยื่นหมั่นโถวแห้งแข็งกระด้างมาให้ครึ่งลูก
“ขอบใจจ๊ะอาม่าน” อิงเอ๋อยิ้ม พร้อมกับยื่นมือไปรับ
“อีกไม่นาน เราก็จะได้กลับบ้านกันแล้วล่ะนะ” อาม่านเอ่ยพลางยิ้มให้
“อือ...” อิงเอ๋อตอบทั้ง ๆ ที่ยังเคี้ยวหมั่นโถวแข็งกระด้างอยู่เต็มปาก
“แม่บอกข้าว่า พอเลือกเสร็จแล้ว ถ้าใครไม่ได้รับคัดเลือกไว้ก็จะกลับบ้านได้เลย....ข้าน่ะอยากกลับบ้านเร็ว ๆ จัง” อาม่านชวนคุยต่อ
“แล้วถ้าโดนเลือกไว้ล่ะ จะทำยังไง” อิงเอ๋อถามด้วยความวิตก
“ถามได้! ถ้าโดนเลือก ก็ต้องโดนขังไว้ในวัง ไปเป็นคนรับใช้เขาน่ะสิ! “อาม่านตอบอย่างไม่ต้องคิด
หมั่นโถวที่แข็งกระด้างอยู่แล้ว ดูจะยิ่งแข็งหนักเข้าไปอีกจนอิงเอ๋อไม่สามารถกลืนลงไปได้อีกแม้แต่คำเดียว
“แล้วถ้าเจ้าโดนเลือกไว้ล่ะ อาม่าน เจ้าจะทำยังไง” อิงเอ๋อถามเสียงแผ่ว
“ข้าเหรอ?” อาม่านชักครุ่นคิด “ข้า....ก็ยังไม่รู้เลย....เจ้าอย่าถามข้าอย่างนี้สิ ข้าไม่อยากอยู่ในวังไปจนตายนะ...”อาม่านชักใจคอไม่ดี
เด็กหญิงทั้งสองนั่งเงียบไปทั้งคู่ ไม่มีแก่ใจจะชวนกันสนทนาเรื่องอื่น ๆ อีกต่อไป อีกไม่กี่ชั่วยาม ก็จะรู้แล้วว่าจะได้กลับบ้านไปพร้อมกันกับรถม้าคันนี้หรือเปล่า
เด็ก ๆ ส่วนใหญ่ที่กินอิ่มแล้วตอนนี้พากันหาที่เหมาะ ๆ เพื่อทำธุระส่วนตัวไม่เว้นแม้แต่อาม่าน แต่อิงเอ๋อ กลับเดินหลีกเด็ก ๆ คนอื่นออกมาหามุมสงบ ๆ นั่งลงเพียงลำพัง ในยามนี้แม่หนูไม่รู้สึกว่าอยากจะทำอะไรทั้งนั้น เพราะเฝ้าแต่คิดว่าป่านนี้ แม่ของแม่หนูจะทำอะไรอยู่ แล้วใครจะช่วยเก็บผักมาตาก ใครจะช่วยหาบฟืน ไหนจะหุงข้าวอีก ยิ่งคิดไป น้ำตาก็พาลไหลออกมาอีก
“เอ้า....” ผ้าเช็ดหน้าสีฟ้าผืนค่อนข้างใหญ่ถูกยื่นมาตรงหน้า อิงเอ๋อที่มัวแต่ก้มหน้าอยู่เงยหน้าขึ้นมองเจ้าของเสียงอย่างงง ๆ ด้วยน้ำตาเนืองนอง
ชายรุ่นหนุ่มหน้าตาดี รูปร่างสูงโปร่ง แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าหรูหราดูมีราคา ยังคงยืนตระหง่าน และยื่นผ้าเช็ดหน้ามา พร้อมกับสำทับ “เอ้า...เช็ดน้ำตาซะ”
อิงเอ๋อเงอะงะขึ้นมา เด็กหญิงไม่ได้กลัวที่จะพบกับชายรุ่นหนุ่ม เพราะใช้ชีวิตคลุกคลีอยู่กับผู้ชายทุกเมื่อเชื่อวัน แต่ที่ทำให้แม่หนูขัดเขิน ก็เพราะรูปลักษณ์ท่าทางมีสง่าราศีของเด็กหนุ่มคนนี้ที่ฉายออกมาจากภายในต่างหาก ที่กดให้อิงเอ๋อรู้สึกประหม่าจนทำอะไรแทบไม่ถูก
ชายหนุ่มคนนั้นกลับนั่งลงข้าง ๆ แล้วกวาดตามองไปรอบ ๆ พลางถามว่า
“เจ้ามาคัดตัวเป็นสาวใช้ในวังรุ่นนี้หรือ?” มือแข็งแรงสะอาดสะอ้านนั้นยื่นผ้าเช็ดหน้าเข้ามาอีก แม่หนูอิงเอ๋อจึงรับผ้านั้นไปซับน้ำตา ก่อนจะพยักหน้ารับ
“เฮ้อ....” หนุ่มคนนั้นถอนใจยาว จนอิงเอ๋อต้องหันมามอง แล้วถามออกมาอย่างขลาด ๆ
“ท่าน...เอ่อ...พี่ชายท่านนี้...ถอนใจทำไม...จ๊ะ” อิงเอ๋อถูกสอนมาว่า เวลาจะพูดกับผู้ชายคนไหน ต้องให้เกียรติอย่างน้อยสักสามส่วน จึงตัดสินใจเรียกชายหนุ่มปริศนาคนนี้ว่า พี่ชาย อย่างขลาด ๆ แต่ดูเหมือนว่า คำว่าพี่ชายคำนี้ จะไปกระทบใจหนุ่มคนนี้เข้าอย่างจัง จนทำให้อีกฝ่ายต้องหันมามองอิงเอ๋อตรง ๆ และจ้องเข้าไปในดวงตาดำขลับของแม่หนู เหมือนจะหยั่งใจว่า อิงเอ๋อพูดออกมาจากใจจริงหรือเปล่า
อิงเอ๋อแม้จะประหม่าอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ถึงกับขลาดกลัว เพราะแม่หนูไม่มีอะไรในใจให้ต้องปกปิด จึงมองตอบด้วยสายตาที่ใสซื่อ ด้วยความอยากรู้ในคำตอบจริง ๆ
ชายหนุ่มปริศนาคนนั้น กลับถามต่อไปอีกว่า “เจ้าอยากไปอยู่ในวังไหม?”
“ไม่!” อิงเอ๋อตอบทันควันโดยไม่ต้องคิด “ข้าอยากกลับบ้าน...อยากอยู่ที่บ้าน...อยู่กับอาหม่าและแม่ข้า ช่วยแม่ข้าทำงานบ้านกับคอยดูแลน้อง ๆ ดีกว่า....”
“บ้านของเจ้า....คงจะน่าอยู่มากสินะ....” หนุ่มรุ่นคนนั้นถามอีก
“ใช่จ๊ะ” อิงเอ๋อเริ่มหายประหม่าแล้ว น้ำตาก็เริ่มแห้งหาย “บ้านข้าแม้จะไม่ร่ำรวย แต่แม่กับอาหม่าก็รักข้ามาก นี่ไง....” อิงเอ๋อล้วงเข้าไปในเสื้อตัวในที่มีเสื้อกั๊กทับ หยิบเอากระเป๋าผ้าปักใบน้อยออกมาอย่างทนุถนอม “กระเป๋าผ้าใบนี้ แม่ข้าปักเอง แม่ข้าปักผ้าได้สวยที่สุดในหมู่บ้านเลยนะจ๊ะ “ แล้วเด็กหญิงก็เปิดกระเป๋าออก หยิบแผ่นยันต์สีเหลืองออกมาอวดด้วยความภูมิใจ ปากก็อธิบายแจ้ว ๆ “แล้วนี่...ยันต์ใบนี้ อาหม่า...เอ่อ ข้าหมายถึงพ่อของข้าน่ะ...ดั้นด้นไปขอมาจากศาลเจ้าที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในเหลียวหนิงทีเดียวนะ อาหม่าบอกว่า ยันต์แผ่นนี้ จะคุ้มครองข้า จึงให้ข้าพกติดตัวไว้ตลอดเวลา” พูดจบแล้ว อิงเอ๋อก็นิ่งไป น้ำตาก็พาลไหลออกมาอีก จนชายหนุ่มข้าง ๆ ต้องจุ๊ปากเบา ๆ
“ไม่เอา....ไม่ต้องร้อง....เป็นชาวกองธง ต้องเข้มแข็งเข้าไว้...” นี่คือคำปลอบใจของชายหนุ่มปริศนา ที่ทำให้อิงเอ๋อหยุดร้องได้ฉับพลัน และหันไปมองหน้าชายหนุ่มคนนั้นอย่างเต็มตา ก่อนจะพูดรัวเร็ว “ท่านพูดเหมือนอาหม่าข้าเลย อาหม่าข้าก็สอนเสมอว่า เป็นลูกหลานชาวกองธงต้องเข้มแข็ง....” อิงเอ๋อยิ้มออกมาได้แล้ว พลางพับผ้ายันต์อย่างประณีต เก็บใส่ลงไปในกระเป๋า ก่อนจะเก็บกระเป๋ากลับเข้าไปในอกเสื้ออย่างทนุถนอม
รอยยิ้มของอิงเอ๋อที่ยังมีคราบน้ำตาประดับเป็นสายดูเหมือนจะทำให้ชายหนุ่มคนนั้นตะลึงไปชั่วขณะ แล้วก็ถามว่า “เจ้าชื่ออะไรหรือ...แม่น้องสาว”
“ข้าชื่อ ฮาหลินปาหล่า มู่อิง ข้าเป็นชาวกองธงขาวจากจี๋หลิน ท่านจะเรียกข้าว่าอิงเอ๋อก็ได้ แล้วท่านล่ะ พี่ชาย...”
“ข้า....” ชายหนุ่มอึ้งไป “ข้า...เอ่อ เจ้าเรียกข้าว่า โซ่วซวีก็ได้”
“พี่โซ่วซวี....” อิงเอ๋อเรียกเสียงใส “พี่เป็นชาวกองธงเหมือนกันใช่ไหม....พี่เป็นเปาอีหรือเปล่า สังกัดกองธงอะไรจ๊ะ”
คราวนี้ชายหนุ่มกลับมีสีหน้าเครียดขรึมลง “ข้าไม่ได้เป็นเปาอีในกองธงไหนทั้งนั้นแหละ....”
“ถ้าอย่างนั้น พี่ก็เป็นชาวฮั่นน่ะสิ” อิงเอ๋อสรุปทันทีตามที่รู้มาว่า ในแผ่นดินนี้มีแต่ชาวกองธงกับชาวฮั่นแค่สองเผ่า และตั้งแต่เล็กจนโต ในหมู่บ้านที่อิงเอ๋ออยู่ แทบจะไม่มีชาวฮั่นแท้ ๆ เลย มีแต่ชาวกองธงที่อยู่รวมกันเป็นกลุ่มใหญ่ ส่วนชาวฮั่นนั้น อาหม่าของเธอบอกว่า อยู่อีกหมู่บ้านหนึ่งที่ห่างออกไปอีกฟากของภูเขา และชาวฮั่นในความรู้ของแม่หนูคือคนที่ทำนา ปลูกข้าว ส่วนชาวแมนจูนั้นต้องล่าสัตว์ ดังนั้นแม่หนูจึงถามต่อไปว่า “แล้วพี่มีที่นาอยู่แถวนี้หรือจ๊ะ ถึงได้มาอยู่ตรงนี้”
หนุ่มปริศนาขมวดคิ้วด้วยความงุนงง “เจ้า...ว่าอะไรนะ?”
“ก็พี่โซ่วซวีเป็นชาวฮั่นนี่จ๊ะ ชาวฮั่นก็ต้องทำนา” แล้วแม่หนูก็กวาดสายตามองเสื้อผ้าที่ตัดเย็บด้วยผ้าแพรอย่างดีสีน้ำตาลเข้มของชายหนุ่มข้าง ๆ ตัว “พี่ใส่เสื้อผ้าแบบนี้ทำนาหรือ? พี่ไม่ใส่หมวกหรือ อาหม่าข้าบอกว่า คนทำนาต้องใส่หมวก”
คราวนี้ชายหนุ่มที่นั่งข้าง ๆ ถึงกับหัวเราะใหญ่ แล้วก็มองอิงเอ๋อ จากนั้นก็หัวเราะต่อ พลางส่ายหัวด้วยความขบขัน อิงเอ๋อเพิ่งสังเกตเห็นว่า เวลาที่พี่ชายนี้หัวเราะ ดูเหมือนต้นไม้ต้นหญ้าที่รอบ ๆ ตัวแม่หนูจะพลอยหัวเราะไปด้วย และเหมือนกับโรคระบาดอย่างหนึ่ง อิงเอ๋อที่เมื่อครู่นี้กำลังคิดถึงบ้านจนร้องไห้ ก็พลอยหัวเราะออกมาด้วยอย่างกลั้นไม่อยู่ แต่พอแม่หนูหัวเราะ โซ่วซวีกลับเงียบไปและเอาแต่มองหน้าอิงเอ๋อ จนเธอต้องหยุดหัวเราะ ถามอย่างอาย ๆ ว่า “ข้าหัวเราะได้น่าเกลียดมากใช่ไหมจ๊ะ”
“ไม่หรอก....เวลาเจ้าหัวเราะแล้ว เจ้าดู....น่ารักดี....” พูดแล้ว ชายหนุ่มก็ยิ้มออกมา ทำให้อิงเอ๋อพลอยยิ้มออกมาได้ แล้วก็เลยนึกถึงปัญหาเมื่อครู่นี้ ที่โซ่วซวียังไม่ตอบ จึงถามต่อไปอย่างอยากรู้อยากเห็นว่า “พี่มีที่นาเยอะไหมจ๊ะ?”
โซ่วซวีหัวเราะเสียงดังอีกแล้ว พลางมองอิงเอ๋อด้วยสายตายิ้ม ๆ ก่อนจะบอกว่า “ข้าก็ไม่รู้หรอก”
“อ้าว...” คราวนี้ถึงทีอิงเอ๋อต้องงุนงงบ้าง พลางมองชายหนุ่มอย่างสงสัย “หรือว่าพี่ใม่ใช่ชาวฮั่น...ถ้าพี่ไม่ใช่ชาวฮั่น แล้วไม่ใช่ชาวกองธงเรา พี่เป็นเผ่าไหนกันล่ะจ๊ะ?”
“อือม์.....” โซ่วซวีหันไปมองท้องฟ้าพลางยิ้มเจ้าเล่ห์ “แล้วเจ้าว่า อย่างข้านี่ควรเป็นเผ่าไหนล่ะ?”
อิงเอ๋อเอียงคอมองชายหนุ่มข้างตัวอย่างพิจารณาด้วยความรู้เท่าที่เด็กหญิงมี พี่ชายคนนี้ รูปร่างดูเหมือนจะสูงกว่าอาหม่าของเธอ แต่ผอมบางกว่า ใบหน้านั้นดูคมคาย คิ้วเข้มดกหนา รับกับดวงตายาวรี ริมฝีปากค่อนข้างบางแต่ได้รูปสวย ยิ่งเวลายิ้มแล้วดูเหมือนจะทำให้คนรอบข้างยิ้มตามไปได้ ต ยิ่งดู อิงเอ๋อก็ยิ่งมองไม่ออกเลยว่าโซ่วซวีคนนี้ ต่างจากพวกกองธงอย่างพวกเธอที่ตรงไหน หรือว่าต่างจากชาวฮั่นทั่วไปอย่างไร เมื่อจนปัญญาเข้า อิงเอ๋อก็ได้แต่ตอบตามตรงว่า “ข้าไม่ทราบหรอกจ๊ะ พี่ก็ดูไม่เห็นจะแตกต่างกับพวกผู้ชายกองธงที่ตรงไหนเลย....หรือว่าพี่จะเป็นพวกมองโกลที่นอกด่าน?”
โซ่วซวีหันมามองอิงเอ๋อด้วยสีหน้าอมยิ้ม “สาวน้อย....เจ้ารู้จักผู้ชายมองโกลด้วยหรือ? เจ้าเคยเห็นคนมองโกลนอกด่านจริง ๆ หรือเปล่า?”
อิงเอ๋อรีบตอบ “ข้าไม่เคยเห็นหรอกจ๊ะ แต่ว่าอาหม่าของข้าเคยเล่าให้ฟัง ว่าผู้ชายมองโกลที่นอกด่านน่ะตัวสูงใหญ่ แล้วก็ขี่ม้าเก่ง เหมือนพวกเราชาวแมนจู”
“ฮ่า..อาหม่าของเจ้าช่างรอบรู้นัก” ชายหนุ่มยิ้มกว้าง แล้วหันกลับมามอง “ถ้าอย่างนั้น อย่างข้านี่ก็ดูเหมือนจะขี่ม้าเก่งสินะ เจ้าถึงมองว่าข้าเป็นคนมองโกล หรือว่าข้าดูสูงใหญ่”
อิงเอ๋อตอบไปตามตรง “พี่ดูตัวสูงกว่าอาหม่าของข้า แต่พี่จะขี่ม้าเก่งเหมือนอาหม่าของข้าหรือเปล่า ข้าไม่รู้หรอกจ๊ะ...” แม่หนูมัวคุยกับหนุ่มแปลกหน้าเพลิดเพลิน จนลืมไปว่าเมื่อครู่นี้ยังร้องไห้คิดถึงบ้านอยู่เลย จนกระทั่งเมื่อโซ่วซวีคุยไปจนถึงอาหม่าของเธอ จึงระลึกได้ว่าตัวเองคิดถึงอาหม่าและแม่มากเพียงไหน เด็กหญิงเลยเงียบไปเฉย ๆ ทำให้โซ่วซวีต้องหันมามองอีก
“เอาอีกแล้ว แม่สาวน้อย เจ้าร้องไห้อีกแล้วหรือ?....อย่าร้องไห้เลยนะ ข้าไม่ชอบเห็นน้ำตาผู้หญิงที่สุดเลย” โซ่วซวีว่าแล้วก็ถอนใจใหญ่ ก่อนจะกล่าวต่อ “นี่ขนาดยังไม่ได้เข้าวัง เจ้ายังร้องไห้ขนาดนี้ แล้วถ้าเข้าไปอยู่ในวังจริง ๆ เจ้ามิต้องร้องไห้ทุกวันทุกคืนหรอกหรือ?”
อิงเอ๋อใช้ผ้าเช็ดหน้าของโซ่วซวีเช็ดน้ำตาที่หลั่งไหลลงมาอีกอย่างเงียบ ๆ พยายามแล้วที่จะไม่ร้อง แต่ว่ามันกลั้นไม่ไหวจริง ๆ แต่ถึงน้ำตาจะไหล อิงเอ๋อก็ยังอยากรู้เรื่องในวังให้มากกว่านี้สักหน่อย จึงถามว่า “พี่โซ่วซวีอยู่ในวังหรือ ถึงได้รู้เรื่องในวังด้วย”
โซ่วซวีหัวเราะเบา ๆ ยกมือขึ้นลูบหัวอิงเอ๋ออย่างเอ็นดู ก่อนจะตอบว่า “แม่สาวน้อย ผู้ชายที่อยู่ในวังได้น่ะ มีแต่พวกขันทีเท่านั้น หรือเจ้าเห็นว่า ข้าเหมือนพวกขันทีในวังนักหรือไง? หือม์....”
อิงเอ๋อมีสีหน้างุนงง “ขันที คืออะไรหรือจ๊ะ?”
“แล้วกันสิ นี่เจ้าจะเข้าวังอยู่แล้ว ไม่รู้จักขันทีหรือ?” โซ่วซวีหัวเราะหึ ๆ “เอาเถอะ อีกหน่อยเมื่อเจ้าเข้าไปอยู่ในวังแล้วเจ้าก็จะรู้เอง”
“ไม่นะ” เด็กหญิงสั่นหน้าจนหางเปียส่ายไปมา “ข้าไม่อยู่ในวังหรอก ข้าจะต้องได้กลับบ้าน” พูดจบ น้ำตาก็ร่วงลงมาอีก ร้อนถึงโซ่วซวีต้องใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำตาให้ แล้วโยกหัวอิงเอ๋อเบา ๆ เพื่อปลอบใจ กริยาเช่นนี้ ช่างคล้ายกับที่อาหม่าของเธอทำเวลาที่เธอถูกแม่ดุจนร้องไห้ เลยยิ่งทำให้อิงเอ๋อร้องไห้หนักขึ้นไปอีก และรีบยกผ้าเช็ดหน้าผืนใหญ่นั้นปิดหน้าปิดตา เพื่อกลั้นเสียงสะอื้นไว้มิให้เล็ดรอดออกมา
ชายหนุ่มที่นั่งข้าง ๆ ออกจะเห็นใจเด็กหญิงมากเป็นพิเศษ จึงไม่พูดอะไรอีก ปล่อยให้อิงเอ๋อร้องต่อไปจนพอใจ หลังจากพยายามกลั้นน้ำตาอยู่หลายต่อหลายครั้ง รวมทั้งเช็ดน้ำตาด้วยผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นจนผ้าเปียกชุ่มและยับไปทั้งผืน อิงเอ๋อมองดูผืนผ้าในมือแล้วก็ยิ้มแหย ๆ บอกว่า “ข้าทำผ้าเช็ดหน้าของพี่ยับหมดแล้ว”
โซ่วซวีหัวเราะอีกแล้ว และบอกด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่เป็นไรหรอก ข้าให้เจ้าเลยก็แล้วกัน”
อิงเอ๋อยกผ้าเช็ดหน้าสีฟ้ายับ ๆ ในมือขึ้นดู แล้วก็คิดอะไรขึ้นมาได้ จึงล้วงเข้าไปในอกเสื้ออีกครั้ง แล้วดึงเอาผ้าเช็ดหน้าสีชมพูสดใสมีลายปักตามมุมสี่มุมออกมา ยื่นให้ชายหนุ่ม ก่อนจะบอกอาย ๆ ว่า
“ความจริง ข้าก็มีผ้าเช็ดหน้าติดตัวมาเหมือนกัน แต่ว่าเมื่อครู่นี้ข้าลืมไป เลยใช้ผ้าเช็ดหน้าของพี่จนเป็นแบบนี้แล้ว ข้า....ข้าคิดว่า.....ข้า...ขอแลกผ้าเช็ดหน้าผืนนี้กับของพี่ก็แล้วกัน”
หนุ่มรุ่นเลิกคิ้วเพ่งมองผ้าสีเช็ดหน้าสีชมพูในมือเด็กหญิง นิ่งไปอึดใจหนึ่ง ก่อนจะถามว่า “ผ้าผืนนี้ เจ้าปักเองหรือ?”
อิงเอ๋อพยักหน้าอาย ๆ พูดเสียงเบา “ข้าเพิ่งหัดปัก มัน....อาจจะไม่สวยเท่าที่แม่ข้าปัก แต่ว่า....ข้าก็ตั้งใจปักเต็มฝีมือ...พี่โซ่วซวีคงไม่....” อิงเอ๋อพูดยังไม่ทันจบ โซ่วซวีก็หยิบผ้าเช็ดหน้าสีชมพูผืนนั้น ไปเก็บไว้ในอกเสื้อ แล้วก็พูดเสียงต่ำว่า
“ต่อไป เจ้าห้ามแลกเปลี่ยนผ้าเช็ดหน้าแบบนี้กับผู้ชายคนไหนอีก รู้ไหม?”
อิงเอ๋อมีสีหน้างุนงง ยังไม่ทันได้ตอบอะไร โซ่วซวีก็ลุกขึ้นอย่างรวดเร็วแล้วเดินหายเข้าไปตามทางเล็ก ๆ ข้างป่าแล้ว เด็กหญิงขยับจะตามไป ก็ต้องสะดุ้งเฮือกเพราะเสียงเรียกดังลั่นจากสารถี
“อ้าวเฮ้ย!.....นังหนูทั้งหลาย ขึ้นรถได้แล้ว! “ สารถีร่างใหญ่เดินเข้ามาทางนี้ พร้อมกับไล่ต้อนเด็ก ๆ ทุกคนเข้าไปในรถ ตรวจนับอย่างมั่นใจว่าขึ้นรถครบกันทุกคนแล้ว ประตูรถก็ปิดลง
.......................................................
รถม้าขโยกเขยกผ่านประตูเมืองบานใหญ่เข้าไป ผ่านถนนสายต่าง ๆ ที่เต็มไปด้วยผู้คนมากมายจนน่าเวียนหัว กลิ่นหอมของข้าวต้มร้อน ๆ กลิ่นควันไฟโชยมาตามลม ชวนให้นึกถึงยามเช้าที่บ้านเกิด เด็ก ๆ ที่นั่งมาในรถเริ่มนิ่งเงียบ ไม่พูดไม่คุยกัน เอาแต่กอดห่อผ้าของตัวเองแน่น รถแล่นกุบกับไปเรื่อยจนกระทั่งชะลอความเร็วลงเป็นค่อย ๆ เคลื่อนไปอย่างช้า ๆ เมื่ออิงเอ๋อมองลอดหน้าต่างรถออกไป ก็ได้เห็นรถม้าในลักษณะเดียวกันกับคันที่เด็กหญิงโดยสารม้า ทยอยจอดทีละคัน ๆ เพื่อส่งเด็ก ๆ ลงจากรถ ก่อนจะขับออกไปจากลานกว้างแห่งนั้น
เมื่อรถที่โดยสารมาจอดสนิท เด็กหญิงก็ปีนลงจากรถตามเพื่อน ๆ ไป ทันทีที่เงยหน้าขึ้น เบื้องหน้าของอิงเอ๋อคือประตูบานมหึมาที่สุดเท่าที่เคยเห็นมาในชีวิต หน้าประตูมีทหารในเครื่องแบบเต็มยศยืนเฝ้าอยู่อย่างแข็งขัน และมีเจ้าหน้าที่ในเครื่องแบบขุนนางหลายคนยืนอยู่ หนึ่งในนั้นเดินตรงมาที่กลุ่มของอิงเอ๋อ และเรียกพวกเด็ก ๆ ให้ไปยืนรวมกันกับเด็กอีกกลุ่มใหญ่ที่ยืนรออยู่ก่อนแล้ว
อิงเอ๋อไปยืนตัวลีบแอบอยู่กับเด็กที่มาในรถคันเดียวกัน ดู ๆ ไปเด็กหญิงทุกคนก็มีสภาพไม่ต่างกันกับอิงเอ๋อเลย คือยืนตัวสั่น ๆ พยายามทำตัวให้เล็กที่สุดเท่าที่จะทำได้
เจ้าหน้าที่คนหนึ่ง กางสมุดบัญชีออกมา กวาดตามองพวกเด็ก ๆ แล้วหันไปถามเจ้าหน้าที่ข้าง ๆ ว่าหมู่กองธงขาวมากันครบแล้วหรือไม่ เมื่อทราบว่ามาครบแล้วทุกคันแล้ว ก็ร้องสั่งเสียงดุ
“ข้าจะขานชื่อพวกเจ้าทีละคน ให้พวกเจ้าก้าวออกมายืนเรียงแถว แล้วเดินตามเผิงกงกงกับตู้กงกงผ่านประตูเสินอู่นี่เข้าไปในวัง ใครที่ข้ายังไม่ได้เรียก ให้ยืนอยู่ตรงนี้ก่อน....เมื่อเข้าประตูวังไปแล้ว ให้ทำตามที่เผิงกงกงกับตู้กงกงสั่งทุกอย่าง ห้ามขัดขืน ห้ามร้องไห้ หลังจากเลือกเสร็จแล้ว เด็กคนไหนที่ไม่ได้รับเลือก จะกลับออกมาที่ประตูแห่งนี้ตามเดิมเพื่อขึ้นรถม้าคันเดิมที่พวกเจ้านั่งมา กลับไปบ้าน....ที่ข้าพูดมานี่ พวกเจ้าเข้าใจที่ข้าพูดไหม?” เจ้าหน้าที่ถามเสียงเคร่ง
พวกเด็กหญิงพยักหน้าอย่างกลัวเกรง เจ้าหน้าที่ ขานชื่อเด็กทีละสิบห้าคน จัดเป็นสามแถว แล้วให้เดินตามขันทีไป แถวแล้วแถวเล่า
“ปาหลินฮาหล่า มู่อิง!” เสียงเจ้าหน้าที่เรียก