บทที่ 1
ลมปลายฤดูใบไม้ร่วงหอบเอาฝุ่นทรายละเอียดสีเหลืองปลิวว่อนเข้ามาในลานบ้าน เกาะตามหัวไชเท้าที่วางตากแดดตากลมอยู่ในกระด้งหน้าบ้าน ทำให้เด็กหญิงที่นั่งอยู่ต้องคอยหมั่นเอาผ้าแห้ง ๆ เช็ดฝุ่นทรายออกเรื่อย ๆ
บ้านหลังน้อยที่เด็กหญิงและครอบครัวอาศัยอยู่ เป็นหนึ่งในจำนวนสามหลังที่ใช้ลานบ้านร่วมกัน ในลานนอกจากหัวไชเท้า ยังมีผักกาดขาวแขวนตากอยู่เป็นราว เด็กหญิงไม่ชอบงานดูแลพวกผักตากแห้งพวกนี้เลย เพราะพอเข้าปลายฤดูใบไม้ร่วง ลมก็จะแรงพัดเอาฝุ่นทรายละเอียดเข้ามาจับตามซอกผัก เช็ดออกยาก แต่จะไม่เช็ดก็ไม่ได้ ไม่เช่นนั้นเมื่อเอาผักแห้งเหล่านี้ไปทำอาหารกิน เวลาเคี้ยวก็จะมีแต่ทรายละเอียดอยู่ในปาก ซึ่งเป็นสิ่งที่พ่อของเด็กหญิงไม่ชอบอย่างมาก และเมื่อพ่อไม่ชอบแล้ว แม่ของแม่หนูก็จะไม่ค่อยสบายใจ และก็จะมาลงที่ลูกสาวคนเดียวของบ้านคืออิงเอ๋ออีกนั่นเอง
อิงเอ๋อสาละวนเช็ดฝุ่นทรายตามซอกผักออกเท่าที่เด็กสิบสองขวบคนหนึ่งจะทำได้ ส่วนแม่ของอิงเอ๋อเวลานี้นั่งเย็บรองเท้าคู่ใหม่ให้น้องชายของเธออยู่ในห้องด้านใน
“นางเจี่ยซื่ออยู่ไหม?”
เด็กหญิงเงยหน้าขึ้นมองผู้มาเยือน ซึ่งประกอบด้วยชายวัยกลางคนสองคนแต่งกายดูภูมิฐาน กับผู้ใหญ่บ้านแซ่หลู่ของหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งนี้ เด็กหญิงวางมือจากงานวิ่งเข้าไปรายงานแม่ในทันที
“แม่จ๋า ๆ ผู้ใหญ่หลู่พาใครก็ไม่รู้มาหาแน่ะจ๊ะ”
นางเจี่ยซื่อวางรองเท้าที่ยังเย็บไม่เสร็จลงบนโต๊ะริมห้อง และเดินมามองที่ช่องประตู เมื่อเห็นผู้ใหญ่บ้านกับแขกผู้มาเยือนสองคนที่กำลังเดินตรงเข้ามา นางก็รีบสั่งลูกสาวให้เอากาน้ำชาไปล้างและไปรินน้ำร้อนจากในครัวออกมา ส่วนนางร้องเชื้อเชิญแขกทั้งสามเข้ามานั่งรอในห้องโถงของบ้านก่อน
เมื่อแขกทั้งสามนั่งลงเรียบร้อยแล้ว นางเจี่ยซื่อก็รีบใส่ใบชาใหม่ ๆ ลงไปในกาน้ำชา รอจนน้ำชาได้ที่ นางก็รินน้ำชาอย่างช้า ๆ ให้แก่แขกผู้มาเยือนทั้งสาม แขกทั้งสามยกชาขึ้นจิบแล้วนางจึงได้นั่งลงเพื่อรอฟังธุระของผู้มาเยือน ผู้ใหญ่บ้านแนะนำผู้มาเยือนทั้งสองแก่นางเจี่ยซื่อว่า
“สองท่านนี้ มาจากฝ่ายทะเบียนกรมวังฝ่ายในของกองธงขาว[1]เรา ท่านผู้นี้คือใต้เท้าฟาง อีกท่านคือใต้เท้าจ๋าขูทา สองท่านนี้จะมาตรวจสอบรายละเอียดของบัญชีรายชื่อเปาอี[2]ในหมู่บ้านเราปีนี้”
นางเจี่ยซื่อรีบคารวะใต้เท้าทั้งสอง และรินชาเติมให้อีกรอบหนึ่ง เสียงผู้ใหญ่บ้านพูดต่อไปว่า
“ใต้เท้าทั้งสองถามอะไร เจ้าก็ตอบไปตามความจริง ห้ามปิดบังอำพราง ไม่เช่นนั้นหากจับได้ จะต้องรับโทษหนักตามกฎของกองธงเรา เจ้าเข้าใจหรือไม่”
“ผู้น้อยทราบแล้วเจ้าค่ะ” นางเจี่ยซื่อตอบเสียงเบาหวิว
“เอาล่ะ” เสียงใต้เท้าฟางเอ่ย “เจ้านั่งลงก่อน แล้วก็ค่อย ๆ ตอบคำถามไป”
“เจ้าค่ะ”
ใต้เท้าจ๋าขูทา เลือกหยิบสมุดบัญชีเล่มหนึ่งออกมาจากห่อผ้าที่ผู้ใหญ่บ้านเป็นผู้ถือมา จากนั้นก็เริ่มถามด้วยน้ำเสียงเข้มงวด
“เจ้าเป็นภรรยาของฮาหลินปาหล่า ฮาเอ่อไถ ใช่หรือไม่”
“ใช่เจ้าค่ะ”
“เจ้ามีลูกทั้งหมดกี่คน เป็นลูกชายกี่คน ลูกสาวกี่คน”
“สามคนเจ้าค่ะ เป็นลูกชายสองคน ลูกสาวหนึ่งคน”
“ลูกสาวเจ้า ชื่อว่าฮาหลินปาหล่า มู่อิง เกิดปีที่ 1ในรัซศกปัจจุบัน ปีนี้อายุครบสิบสองขวบแล้วใช่หรือไม่”
“ใช่เจ้าค่ะ”
“นอกจากลูกสาวคนนี้ ยังมีลูกสาวคนอื่น ๆ อีกไหม”
“ไม่มีแล้วเจ้าค่ะ”
ใต้เท้าฟางตบโต๊ะดังปังพลางตวาด
“บังอาจ เจ้ากล้าโกหกหลอกลวงเจ้าหน้าที่ทางการหรือ อยากโดนลงโทษหรือ?”
นางเจี่ยซื่อแทบเข่าอ่อน ทรงกายไม่ไหว รีบร้องบอก
“ผู้น้อยไม่ได้โกหกแม้แต่ครึ่งคำเจ้าค่ะ เรื่องนี้ท่านผู้ใหญ่บ้านเป็นพยานให้ผู้น้อยได้”
ผู้ใหญ่หลู่พยักหน้า รีบบอกใต้เท้าทั้งสอง
“ใต้เท้า ที่นางพูดมาไม่ได้โกหก นางมีลูกสาวคนเดียวจริง ๆ “
“แล้วทำไมในสมุดบัญชีจึงบันทึกไว้ว่า นางมีลูกสาวอีกคน ชื่อมู่ผิง เกิดปีที่หก นี่อย่างไร เจ้าอ่านดู” พลางยื่นสมุดบัญชีให้ผู้ใหญ่หลู่อ่าน ผู้ใหญ่หลู่ รีบบอกใต้เท้าด้วยความนอบน้อม
“ใต้เท้าทั้งสอง ลูกสาวคนที่สองของนางเสียชีวิตไปหลังจากอายุได้แปดเดือน ตอนนั้นข้าเป็นนายทะเบียนรับแจ้งและชันสูตรเอง และได้แก้ในทะเบียนท้องถิ่นไปแล้ว แต่ไม่ทราบว่าเหตุใดสมุดทะเบียนที่ฝ่ายในจึงยังมีชื่ออยู่”
“พวกเจ้าอย่าได้สมคบคิดกันโกหกหลอกลวง หากถูกจับได้ พวกเจ้าล้วนต้องโดนลงโทษสถานหนัก” ใต้เท้าฟางขู่ด้วยเสียงต่ำ ๆ
ผู้ใหญ่บ้านหลู่ร้องโอยเสียงดัง “ใต้เท้า! ผู้น้อยไม่บังอาจเด็ดขาด หากใต้เท้าทั้งสองไม่เชื่อ ผู้น้อยจะไปเอาสมุดทะเบียนที่เก็บไว้ที่หมู่บ้านมายืนยันให้ดู”
ใต้เท้าฟางและใต้เท้าจ๋าขูทาหันไปกระซิบกระซาบกัน ส่วนนางเจี่ยซื่อนั่งก้มหน้าไม่กล้าเงยพลางบีบมือตัวเองแน่นจนข้อนิ้วขาวซีด ด้วยความหวาดกลัวว่าจะโดนอาญาฐานปกปิดความจริง อิงเอ๋อที่แอบดูจากประตูห้องครัวเห็นเหตุการณ์กระจ่าง แต่ไม่ทราบว่าผู้ใหญ่พูดอะไรกัน บ้านนี้ไม่เคยมี”ใต้เท้า” คนไหนย่างเหยียบมาเยือนเลย อิงเอ๋ออยากจะรู้เหลือเกินว่าบรรดาใต้เท้าเหล่านั้นมาด้วยธุระอันใด แต่จะออกไปก็ไม่กล้า ได้แต่แอบดูต่อด้วยใจระทึก
“พวกข้าเชื่อว่าเจ้าทั้งสองไม่กล้าโกหก” ในที่สุดใต้เท้าฟางก็เอ่ยปาก “เอาล่ะ....ลูกสาวคนโตของเจ้า ชื่อ...อะไรนะ”
“มู่อิงเจ้าค่ะ” นางเจี่ยซื่อรีบตอบ
“ดีแล้ว มู่อิง....เอาล่ะ เรียกนางออกมาให้พวกข้าดูหน่อย”
นางเจี่ยซื่อหันไปทางห้องครัวที่นางรู้ว่าลูกสาวยังยืนแอบอยู่ พลางเรียกเสียงเบา ๆ
“อิงเอ๋อ....รีบออกมาคำนับใต้เท้าทั้งสองท่านนี้เร็ว ๆ”
เด็กหญิงเดินออกมาด้วยท่าทีกึ่งอยากรู้กึ่งหวาดกลัว นางมาหยุดยืนข้างผู้เป็นมารดา แล้วก็ก้มศีรษะคำนับอย่างสุภาพ แต่ไม่พูดอะไร
“เจ้าชื่ออะไร” ใต้เท้าฟางถามเสียงดุ
นางเจี่ยซื่อเอามือผลักหลังลูกสาวเบา ๆ กระตุ้นเตือนให้รีบตอบ
“อิงเอ๋อเจ้าค่ะ.....” พูดไปแล้ว กลับได้ยินเสียงใต้เท้าจ๋าขูทาตะคอกกลับจนเด็กหญิงหน้าเหยเก
“สกุลอะไร ชื่อเต็ม ๆว่าอะไร ปีนี้อายุเท่าไหร่....รีบตอบมา...”
อิงเอ๋อรีบตอบตะกุกตะกัก
“ข้าน้อย....สกุลฮาหลินปาหล่า ชื่อมู่อิง ปีนี้อายุสิบสองขวบเจ้าค่ะ”
ใต้เท้าจ๋าขูทากับใต้เท้าหันไปกระซิบกระซาบกัน พลางจดข้อความลงในสมุดทะเบียน ก่อนจะปิดสมุดฉับ และส่งให้ผู้ใหญ่หลู่ที่รีบรับสมุดไปอย่างนอบน้อม และเก็บใส่ห่อผ้าอย่างเรียบร้อย
“นางเจี่ยซื่อจงฟัง... “ ใต้เท้าฟางประกาศ “...เนื่องจากลูกสาวเจ้าปีนี้อายุครบเกณฑ์ ต้องเข้าไปรับการคัดเลือกที่เมืองหลวงเพื่อเลือกเข้าไปเป็นนางกำนัลฝ่ายในวังหลวง มีกำหนดในเดือนเก้าขึ้นสามค่ำที่จะถึงนี้ ขอพวกเจ้ารีบเตรียมตัวให้พร้อม หากลูกสาวเจ้าโชคดีได้รับคัดเลือกเข้าเป็นนางกำนัลในวัง พวกเจ้าที่บ้านจะได้รับค่าตอบแทนจากทางการเดือนละสองตำลึงทุกเดือน จนกว่าลูกสาวเจ้าจะอายุได้ยี่สิบห้าปี ก็จะมีสิทธิ์ออกจากวังกลับมาอยู่ที่บ้านได้ต่อไป”
เมื่อฟังใต้เท้าฟางประกาศจบ นางเจี่ยซื่อก็หน้าซีด แม้นางจะรู้มาก่อนว่าพวกเปาอีผู้หญิงที่สังกัดกองธงเหลือง ขลิบเหลือง และกองธงขาว จะต้องเข้าไปรับการคัดเลือกเพื่อเป็นหญิงรับใช้ในวังหลวง แต่นางไม่เคยคิดว่าลูกสาวของนางจะต้องมาโดนด้วย นางรีบคุกเข่าลงอ้อนวอนใต้เท้าทั้งสองทันที
“ใต้เท้าทั้งสองโปรดเมตตา ลูกข้ายังเล็กนัก เข้าไปอยู่ในวังก็คงทำอะไรไม่เป็น ขอใต้เท้าทั้งสองโปรดเมตตา อย่าเอาชื่อนางลงไปในบัญชีเลยเจ้าค่ะ”
ใต้เท้าจ๋าขูทาตวาด “พวกเจ้าเป็นแค่เปาอี มีสิทธิ์อะไรมาปฏิเสธกฎที่บรรพชนชิงเราตราไว้ อีกอย่าง หากลูกสาวเจ้าได้เป็นหญิงรับใช้ในวังก็ถือเป็นวาสนาแล้ว ยังไม่รีบขอบคุณพวกเราทั้งสองอีก”
ใต้เท้าฟางหันไปพยักหน้าให้กับผู้ใหญ่หลู่ ผู้ใหญ่หลู่รีบหันไปบอกนางเจี่ยซื่อทันที
“พี่สะใภ้ อย่าทำอย่างนี้ หากทางการเอาเรื่อง พวกท่านทั้งบ้านจะรับไม่ไหวหรอก”
นางเจี่ยซื่อคุกเข่านิ่ง ไม่มีเรี่ยวแรงจะลุกขึ้น ในสมองนางมีแต่คำว่า “อิงเอ๋อจะต้องไปเป็นข้าทาสในวังหลวง” ซ้ำไปซ้ำมา เมื่อนางหันไปดูอิงเอ๋อ ก็เห็นลูกสาวยืนน้ำตาไหลพรากอยู่ข้าง ๆ ไม่ต้องสงสัยเลยว่า สิ่งที่ใต้เท้าฟางประกาศออกมา อิงเอ๋อเข้าใจได้ชัดเจนทุกคำพูดเหมือนกับนางผู้เป็นมารดา
.........................................
ใต้เท้าทั้งสองพร้อมด้วยผู้ใหญ่หลู่กลับไปนานแล้ว แต่สองแม่ลูกยังคงกอดกันร้องไห้ นางเจี่ยซื่อนับแต่เสียลูกสาวคนที่สองไป ก็เหลือลูกสาวเพียงคนเดียวคืออิงเอ๋อ ส่วนลูกชายทั้งสองของนางคือฟู่กวา กับฟู่คุน ปีนี้อายุสิบขวบ และเจ็ดขวบตามลำดับ ซนตามประสาเด็กผู้ชาย และไม่เคยอยู่ช่วยงานที่บ้านเลย ทุกอย่างที่อาศัยแรงงานในบ้านนี้ ก็มีเพียงนางและอิงเอ๋อที่ช่วยกันดูแล หากอิงเอ๋อต้องไปเป็นสาวใช้ในวัง นางก็ยังไม่รู้ว่าชีวิตที่ไม่มีลูกสาวคนนี้คอยอยู่ใกล้ ๆ จะเป็นอย่างไร
เย็นมากแล้ว แต่ฮาเอ่อไถ สามีของนางก็ยังไม่กลับถึงบ้าน นางเจี่ยซื่อเช็ดน้ำตาให้อิงเอ๋อ แล้วก็ไล่ให้อิงเอ๋อไปจุดเตาหุงข้าว และไปเก็บผักที่ตากแห้งไว้กลับเข้ามาตากใต้ชายคา ส่วนนางก็ลุกขึ้นไปเข้าครัวเตรียมทำกับข้าวตามปกติ สองแม่ลูกช่วยกันเงียบ ๆ อยู่ในครัว โดยไม่มีเสียงหยอกล้อ เสียงดุหรือเอ็ดเหมือนอย่างเคย
.......................................
ลมเย็นปลายฤดูใบไม้ร่วงพัดลอดหน้าต่างเข้ามาในห้อง ทำให้เปลวเทียนเต้นระริกวูบไหวไปมา ฮาเอ่อไถนั่งสูบกล้องยาเงียบ ๆ ฟังนางเจี่ยซื่อเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ให้ฟังอย่างเคร่งขรึม เมื่อภรรยาเล่าจบ ฮาเอ๋อไถก็ยังคงนั่งเงียบ ไม่ออกความเห็นอย่างไรแม้แต่คำเดียว
“ท่านพี่ พวกเราจะทำอย่างไรดี” นางเจี่ยซื่อถามด้วยความกระวนกระวาย พลางบิดมือไปมาอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรดี
ฮาเอ่อไถอัดควันเข้าปอดลึก ๆ ก่อนจะถอนหายใจยาว หันไปหาภรรยาคู่ยาก
“อาอวี้เอ๋ย....พวกเราเป็นซั่งเปาอี[3]กองธงขาว นับว่ามีศักดิ์ศรีเหนือกว่าเปาอีของกองธงอื่นๆ แล้ว เพราะมีแต่ลูกหลานของพวกเราเท่านั้นที่จะได้รับการคัดเลือกเข้าวังหลวง ถึงแม้จะเป็นแค่สาวใช้หรือทหารยาม แต่ก็ยังมีศักดิ์ศรีกว่าเปาอีกองธงอื่น ๆ ที่เป็นได้แค่สาวใช้ตามบ้านขุนนางหรืออ๋องตามหัวเมืองเป็นไหน ๆ...หากว่าอิงเอ๋อของเราได้เข้าไปเป็นสาวใช้ในวังจริง ๆ ก็นับว่าเป็นเกียรติของวงศ์ตระกูลเรา เจ้าไม่ควรขัดขืนหรือไม่พอใจ อีกอย่าง การที่ลูกเราได้เข้าไปอยู่ในวัง ก็จะได้ไปเปิดหูเปิดตา ได้เข้าไปอยู่ในที่สูง ซึ่งมีแต่เชื้อพระวงศ์ชั้นสูงและผู้สูงศักดิ์ทั้งนั้น ลูกก็จะได้ไปฝึกฝนอบรมมารยาทต่าง ๆ เป็นอย่างดี ....เจ้ารู้ไหม สาว ๆ ที่ฝ่านการเป็นสาวใช้ในวังน่ะ เรียกค่าสินสอดได้แพงกว่าลูกสาวชาวบ้านธรรมดามากนัก....”
“สาวใช้ก็คือสาวใช้!” ภรรยากระแทกเสียง “จะเป็นสาวใช้ในวังหรือนอกวัง ก็เป็นแค่ขี้ข้าอยู่นั่นเอง ข้าไม่อยากให้ลูกไปเป็นสาวใช้ในวังเลยจริง ๆ” นางคร่ำครวญ
ฮาเอ่อไถใช้ด้ามกล้องยาสูบเคาะศีรษะภรรยาเบา ๆ พลางกระแทกเสียง
“เจ้านี่...ช่างดื้อด้านเสียจริง ข้าไม่พูดกับเจ้าแล้ว!....อีกอย่างก็ใช่ว่าอิงเอ๋อจะต้องเป็นสาวใช้ในวังจริง ๆ เมื่อไร ลูกยังต้องไปรับการคัดเลือกดูตัวก่อน หากเจ้านายในวังท่านพอใจหรอก จึงจะได้เป็นสาวใช้ในวังจริง ๆ เจ้าไม่รู้เรื่องอะไรก็อย่ามาบ่นคร่ำครวญนักเลย....ข้ารำคาญ!”
“จริงสินะ ลูกยังต้องไปผ่านการคัดเลือกอีก....ข้าก็มัวแต่ตกใจจนลืมไป.....”นางเจี่ยซื่อหน้าชื่นขึ้น พลางยกมือขึ้นพนม หันออกไปนอกหน้าต่าง “พระโพธิสัตว์กวนอิมโปรดทรงเมตตา ขออย่าให้ลูกสาวของข้า โดนคัดเลือกไปเป็นสาวใช้ในวังเลยเจ้าค่ะ” นางพนมมือ ก้มหัวอธิษฐานอย่างนอบน้อม
ฮาเอ่อไถสูบยา พ่นควันช้า ๆ นิ่งอยู่เป็นครู่ใหญ่ ก่อนจะเอ่ยปาก
“ข้าได้ยินมาว่าที่เหลียวหนิง มีศาลเจ้าที่ศักดิ์สิทธิ์อยู่แห่งหนึ่ง ข้าว่ามะรืนนี้จะเดินทางไปไหว้เทพเจ้าที่นั่น ขอยันต์มาให้อิงเอ๋อเพื่อไว้ปกป้องคุ้มครองตอนที่ลูกจะเดินทางไปเข้าเมืองหลวง....เจ้าอยู่บ้านดูแลลูกให้ดี ช่วยจัดเตรียมเสื้อผ้ากันเครื่องกันหนาว และเสบียงไว้ให้ลูกได้แล้ว ไม่เช่นนั้นจะไม่ทันการณ์ อีกไม่นานก็จะถึงสามค่ำเดือนเก้าแล้ว”
“ท่านพี่....แล้วลูกเราจะเดินทางเข้าเมืองหลวงได้อย่างไร ตั้งแต่เล็ก ๆ มาลูกไม่เคยออกจากหมู่บ้านเลยแม้แต่ก้าวเดียว แล้วนี่ต้องไปไกลถึงเมืองหลวง ระยะทางจากเหลียวหนิงไปถึงเมืองหลวงก็ไม่ใช่ใกล้ ๆ ” นางเจี่ยซื่อเริ่มวิตกอีก
“เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องวิตก ข้าอยู่กองม้าข้ารู้ดี เพราะว่าทุกทีที่ทางการมีการคัดเลือกสาวใช้ หรือเลือกสาวงามเข้าวัง ทางกองธงแต่ละสีต้องจัดเตรียมรถม้าให้ เจ้าอย่าห่วง....ลูกเราจะปลอดภัย และจะได้ร่วมเดินทางไปกับเด็กจากหมู่บ้านนี้คนอื่น ๆ ในรถคันเดียวกันนั่นแหละ อีกอย่างหนึ่ง ข้าพอจะสนิทสนมกับผู้ดูแลกองรถม้าอยู่บ้าง ข้าจะฝากฝังให้เขาช่วยดูแลลูกเราเป็นพิเศษ เจ้าอย่ากังวลไปนักเลย”
“ถ้าท่านพี่ว่าอย่างนั้น ข้าก็วางใจ ท่านจะไปเหลียวหนิงก็รีบไปรีบกลับล่ะ...”
“ข้ารู้แล้วน่ะ!....”ฮาเอ่อไถตัดบท “นี่ก็ดึกมากแล้ว ข้าจะนอนแล้ว!”
ฮาเอ่อไถดับกล้องยาสูบ ส่วนผู้เป็นภรรยาก็รีบไปยกน้ำเข้ามาล้างเท้าให้สามีอย่างรู้หน้าที่ ก่อนจะดับเทียนขึ้นเตียงตามไปหลังจากทำธุระส่วนตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว
แม้ว่าฮาเอ่อไถจะยกเหตุผลมาปลอบนางต่าง ๆ นานา แต่เจี่ยซื่อก็ยังคงกังวลเรื่องอิงเอ๋อจนไม่อาจข่มตาหลับได้ง่าย ๆ แต่นางก็ไม่กล้าพลิกไปพลิกมาเพราะกลัวสามีจะรำคาญ เลยได้แต่นอนหลับตานิ่ง ๆ อยู่บนเตียงจนใกล้รุ่งเช้า จีงรีบลุกขึ้น แต่งตัว จุดเทียนย่องไปที่ห้องของลูก ๆ ชะโงกเข้าไปดูว่าลูกเป็นอย่างไร โดยเฉพาะอิงเอ๋อ
เห็นหน้าลูกแล้วนางก็ใจแทบเหลวละลายด้วยความเป็นห่วง บนหน้ากลม ๆ ของอิงเอ๋อยังมีรอยคราบน้ำตาเปื้อนไปทั่ว นี่คงร้องไห้ทั้งคืนกว่าจะหลับ ช่างน่าสงสารเหลือเกิน ผู้เป็นแม่ได้แต่เอามือเสยผมที่ปรกหน้าผากลูกขึ้นเบา ๆ พลางถอนใจใหญ่ด้วยความกังวล
..........................
อิงเอ๋อกำกระเป๋าปักใบน้อยที่แม่ส่งให้กับมือเมื่อสามหลายวันก่อนที่จะเดินทาง กระเป๋านี้สองด้านปักเป็นรูปดอกโบตั๋นสีสวยสดใสอันหมายถึงความมีวาสนาสูงส่ง ในกระเป๋ายังมียันต์แผ่นเล็ก ๆ ที่อาหม่า(พ่อในภาษาแมนจู)ของเด็กหญิง ดั้นด้นจากหมู่บ้านเล็ก ๆ ในจี๋หลินไปถึงศาลเจ้าที่ว่ากันว่าศักดิ์สิทธิ์ที่สุดที่เหลียวหนิงเพื่อขอมาปกปักรักษาอิงเอ๋อให้ปลอดภัย และมีแต่โชคดี ในใจอิงเอ๋อยังหวนนึกถึงคำพูดที่อาหม่าพูดกรอกหูก่อนแม่หนูจะออกจากหมู่บ้านมา
“จำไว้นะอิงเอ๋อ ถ้าหากลูกโชคดีได้รับคัดเลือกเข้าไปเป็นสาวใช้อยู่ในวัง ขอให้ทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ลูกต้องจงรักภักดีกับเจ้านายของลูก อย่าได้ทำอะไรให้เป็นที่เสียเกียรติของตระกูลฮาหลินปาหล่าของเรา ลูกเข้าใจไหม?”
อิงเอ๋อที่ยังคงยืนก้มหน้ามองดูดิน ทำได้แค่พยักหน้าน้อย ๆ น้ำตายังรินไหลไม่ขาดสาย แต่ไม่กล้าสะอื้นไห้หรือว่าร้องออกมาดัง ๆ เหมือนเด็กหญิงคนอื่น ๆ ที่มารวมตัวกันในลานในวันนี้ เพราะเด็กหญิงรู้ดีว่า อาหม่าของเธอไม่ชอบคนอ่อนแอ
“ลูกเป็นลูกหลานชาวกองธง ในหมู่พวกกองธงของเราไม่มีคนขี้ขลาด ลูกต้องกล้าหาญ เชิดหน้าไว้ให้สมกับเป็นลูกหลานของแมนจู น้ำตา...” ฮาเอ่อไท่หยุดไปนิดหนึ่ง “....อย่าได้หลั่งไหลออกมาให้ใครได้เห็นง่าย ๆ เข้าใจหรือเปล่า?” ปาหลินฮาหล่า ฮาเอ่อไท่ สั่งสอนลูกสาวด้วยน้ำเสียงดุดัน แต่ถ้าอิงเอ๋อเงยหน้าขึ้นมองอาหม่าของตัวเองสักนิด ก็จะเห็นได้ว่า ขอบตาของฮาเอ่อไท่ก็เริ่มแดงก่ำเหมือนกัน ฮาเอ่อไท่สูดน้ำมูกเบา ๆ ก่อนถอนหายใจและบอกลูกสาวเสียงอ่อน
“ไปเถอะ อย่าให้คนอื่นรอเรานาน จะเป็นการเสียมารยาท”
ปาหลินฮาหล่า มู่อิง โผเข้ากอดผู้เป็นบิดาไว้แนบแน่น จนฮาเอ่อไท่ต้องอุ้มขึ้นมา แล้วพาไปส่งถึงรถม้าที่จอดรออยู่ ฮาเอ่อไท่จูบหน้าผากลูกสาวเบา ๆ ก่อนจะตัดใจ ส่งตัวลูกสาวเข้าไปในรถม้าคันใหญ่ที่เป็นพาหนะพาพวกเด็ก ๆ ในหมู่บ้าน ไปเข้ารับการคัดเลือกที่เมืองหลวง
นางเจี่ยซื่อทำได้เพียงยืนรอส่งลูกสาวอยู่ห่าง ๆ เหมือนกับแม่คนอื่น ๆ ที่ร้องไห้จนตาบวมแดง นางร้องสั่งแล้วสั่งอีก
“รักษาตัวเองให้ดีนะลูก อย่าดื้อ อย่าซนนะ....กระเป๋าที่แม่ทำให้จงเก็บรักษาไว้ให้ดี ๆ อย่าทำหายนะลูกนะ...คัดเลือกเสร็จแล้วก็รีบกลับมาหาแม่ไว ๆ นะลูก....”
อิงเอ๋อมองลอดหน้าต่างรถม้าออกไป ขณะที่รถม้าเริ่มเคลื่อนตัวไกลจากลานหน้าหมู่บ้านไปเรื่อย ๆ ภาพของพ่อกับแม่เริ่มมีขนาดเล็กลงทุกที ๆ พอเลี้ยวโค้ง ภาพของพ่อกับแม่ที่โบกมือไหว ๆ ก็หายลับไปจากสายตา อิงเอ๋อน้ำตาไหลพราก เหลียวมองรอบ ๆ ตัว เด็กหญิงรุ่นราวคราวเดียวกันทุกคนที่อยู่ในรถล้วนแต่มีน้ำตานองหน้า ร้องไห้แข่งกันเสียงดังอย่างไม่มีใครอายใคร เพียงเท่านั้น อิงเอ๋อก็ปล่อยโฮออกมาลั่นรถไม่อายใครแล้วเหมือนกัน
เสียงรถม้าวิ่งไปเรื่อย ๆ ดังกุบ ๆ กับ ๆ อิงเอ๋อหลับ ๆ ตื่น ๆ มาตลอดทาง ในสมองน้อย ๆ ครุ่นคิดแต่ว่า เมื่อไรจะได้กลับไปบ้านเสียที....ป่านนี้ทุกคนที่บ้านกำลังทำอะไร แม่จะยุ่งอยู่กับการสาละวนเย็บผ้าหรือเปล่า...ผักที่ดองไว้ได้ที่แล้วหรือยัง....น้อง ๆ ล่ะ ใครจะดูแล....และอาหม่าของเธอ จะมีใครคอยปรนนิบัติรับใช้ได้ถูกใจไหมนะ.....เด็กหญิงเฝ้าครุ่นคิดถึงแต่เรื่องเหล่านี้อย่างหนักจนม่อยหลับไปโดยไม่รู้ตัว
[1] ชาวแมนจูทุกคน ไม่ว่าชายหรือหญิง จะต้องมีสังกัด โดยแบ่งออกเป็น 8 กลุ่ม แต่ละกลุ่มใช้ธงสีต่าง ๆ กันเป็นสัญญลักษณ์ ได้แก่ ธงเหลือง ขาว แดง น้ำเงิน เหลืองขลิบแดง(เรียกสั้น ๆ ว่าธงขลิบเหลือง) ขาวขลิบแดง(ขลิบขาว) แดงขลิบขาว และน้ำเงินขลิบขาว รวมเป็น 8 กองธง ดังนั้น ชาวแมนจู จึงมักแทนตนเองว่าชาวกองธง (ฉีเหริน) มากกว่าจะเรียกตัวเองว่าชาวแมนจู
2 เปาอี คือชื่อที่ใช้เรียกกำลังพลระดับสามัญชน หรือไพร่พลทั่วไปที่ไม่มีตำแหน่งทางราชการ แบ่งออกเป็นสองระดับ คือเปาอีธงบน (เปาอีซั่งฉี) มีสามกองธงคือเปาอีจากธงเหลือง ขลิบเหลือง และธงขาว สามกองธงนี้ เป็นไพร่พลในสังกัดวังหลวง หรือเทียบอย่างไทย ๆ คือไพร่หลวง กับอีกอย่างคือ เปาอีธงล่าง (เปาอีเซี่ยฉี) คือไพร่พลในสังกัด 5 กองธงที่เหลือ พวกนี้ถือเป็นไพร่พลในสังกัดเจ้ากองธงแต่ละกอง ซึ่งกินตำแหน่งเป็นอ๋องหมวกเหล็ก เทียบอย่างไทยคือพวกไพร่สม ดังนั้นคนที่จะทำงานในวังหลวงทุกคนจึงเป็นพวกเปาอีซั่งฉีเท่านั้น
[3] เปาอีธงบน มีสามกองธง คือธงเหลือง ธงขาว และธงเหลืองขลิบแดง (ขลิบเหลือง)